ส่วนโจวเสาจิ่นเดินคอตกกลับไปที่ถนนผิงเฉียว
ท่านน้าฉือไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นเลย
ทว่าหลี่ซื่อกลับมีความสุขเป็นอย่างมาก กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “คิดไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่อี๋จะเป็นสตรีจากตระกูลหงที่จิ่วเจียง! ขนบของตระกูลหงเลื่องลือว่าเข้มงวดยิ่งนัก สตรีและบุรุษในบ้านล้วนแล้วแต่มีความสามารถ ข้าฟังจากน้ำเสียงนั้นของฮูหยินใหญ่อี๋แล้ว บ้านเดิมของนางมีหลานชายผู้หนึ่ง เนื่องจากบิดามารดาเสียชีวิตติดๆ กัน ปีนี้อายุยี่สิบปีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้หมั้นหมาย บุคลิกลักษณะดูดี การเล่าเรียนก็ทำได้ดี ประจวบเหมาะกับพี่ชายสามของข้ามีบุตรสาวอยู่คนหนึ่ง ปีนี้อายุสิบห้า กำลังหาคู่ครองพอดี เจ้าว่า ข้าเป็นแม่สื่อให้พวกเขาจะได้หรือไม่”
โจวเสาจิ่นถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า หลี่ซื่อก็เป็นคนเจียงซี แต่ตระกูลหลี่เป็นพ่อค้า ส่วนตระกูลหงเป็นบัณฑิต การที่หลี่ซื่อชื่นชมตระกูลหงก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
นางรู้สึกว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องลองดูก่อนถึงจะรู้ผลลัพธ์ ทว่าฮูหยินใหญ่อี๋เป็นคนของจวนรอง ส่วนตระกูลโจวเป็นญาติฝั่งจวนสี่ อีกทั้งนางยังตัดสินใจว่าต่อไปในอนาคตจะเลือกอยู่ฝั่งเดียวกับจวนหลัก หากตระกูลโจวกระชับความสัมพันธ์กับจวนรองแล้ว เรื่องนี้อาจกลายเป็นเรื่องซับซ้อนขึ้นมาได้
แต่นางมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดีของหลี่ซื่อแล้ว ไม่อาจสาดน้ำเย็นใส่นางได้ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก ข้าคิดว่าควรจะถามท่านพ่อดูจะดีกว่า กล่าวคือ หากต้องการเป็นพ่อสื่อแม่สื่อ ก็คงต้องให้ท่านพ่อออกหน้าให้จะดีกว่าเจ้าค่ะ”
เห็นโจวเสาจิ่นไม่ได้คัดค้าน หลี่ซื่อจึงยิ่งดีใจมากขึ้น นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ทำอย่างที่คุณหนูรองกล่าวมาก็แล้วกัน” อีกทั้งยังกล่าวอย่างทอดถอนใจเล็กน้อยว่า “ข้าไม่คาดคิดว่าคุณหนูรองจะเห็นด้วย”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดข้าจะไม่เห็นด้วยเล่า!”
หลี่ซื่อกล่าว “คุณหนูรองท่านคงไม่ทราบ แม้นตระกูลหลี่ของพวกข้าจะเป็นตระกูลที่สั่งสมความดีงามมาเหมือนกัน แต่ก็เปรียบไม่ได้กับตระกูลเล็กๆ ที่มีลูกหลานเป็นบัณฑิตเหล่านั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรที่พานพบ มักจะเป็นตระกูลหลี่ของพวกข้าที่เสียเปรียบ หากหลานสาวของตระกูลได้แต่งงานกับตระกูลบัณฑิต ต่อไปบุตรหลานของตระกูลหลี่ก็จะได้เข้าไปศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาดีๆ บ้าง ไม่แน่ว่าตระกูลหลี่ของพวกข้าก็อาจจะมีบัณฑิตสักคนก็เป็นได้!”
นี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลี่ซื่อแต่งงานกับบิดาก็เป็นได้!
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด ทว่าไม่อาจคงหัวข้อสนทนานี้ต่อไป นางจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่อเองก็ต้องหวังให้ตระกูลหลี่ได้ดีอย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วโย่วจิ่นเองก็จะได้มีคนให้พึ่งพาได้เพิ่มขึ้นด้วยเจ้าค่ะ!”
หลี่ซื่อยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้า พลางกล่าว “นายท่านเป็นคนดีมากผู้หนึ่ง!”
คำพูดของนางกล่าวได้อย่างจริงใจยิ่ง เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจในตัวโจวเจิ้นเป็นอย่างมาก
โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ คุยกับหลี่ซื่ออีกไม่กี่ประโยค ก็กลับไปที่เรือนหลัก
พี่สาวไม่อยู่แล้ว เรือนหลักขนาดสามห้องกั้นและห้องข้างอีกสองห้องจึงดูวังเวงเล็กน้อย
นางนั่งร่างภาพองค์กวนอิมถือแจกันอยู่หน้าตะเกียงขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วได้ครึ่งภาพ เมื่อได้ยินเสียงตีกลองบอกเวลายามสามแล้ว ถึงได้ไปพักผ่อน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อวี๋มามาที่ดูแลเรือนดอกไม้มาถามนางว่า “ดอกโบตั๋นสองสีที่ท่านปลูกด้วยตัวเองต้นนั้นต้องการให้ย้ายไปปลูกที่ไหนหรือไม่เจ้าคะ ต่างชูช่อดอกตูมหมดแล้ว อีกไม่กี่วันก็น่าจะพากันเบ่งบานแล้ว หากบานอยู่บนถนนคงจะน่าเสียดายแย่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วไปเลือกดอกไม้สองสามกระถางที่เรือนดอกไม้ สั่งชุนหว่านกับอวี๋มามาให้นำไปส่งที่เรือนหานปี้ซาน “โบตั๋นสองสีให้ส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ส่วนกล้วยไม้ส่งไปให้ท่านน้าฉือ” และก็คิดว่าไม่อาจส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโดยไม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน จึงกล่าวอีกว่า “แล้วก็ส่งว่านสิบแสงไปให้ท่านยาย”
นางอยากรู้ว่าท่านน้าฉือกลับมาหรือยัง
เรื่องที่นางเปลี่ยนใจต้องรีบบอกท่านน้าฉือให้เร็วที่สุด จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าท่านน้าฉือเตรียมการเสร็จเรียบร้อยทางด้านของนางจึงต้องกลับคำ
โจวเสาจิ่นรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
แต่เมื่อชุนหว่านกลับมากลับบอกนางว่า นายท่านสี่ยังไม่กลับมา
หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกว่าเฉิงฉือไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่ตัวเขาเองบอก ที่บอกว่าเพียงดูแลกิจการของตระกูลเฉิงและทำการค้ากับผู้อื่นเท่านั้น
นางนึกถึงเฉิงลี่ผู้เป็นนายท่านใหญ่ของจวนรองที่ลือกันว่าเสียชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มเดินสมุทร
โจวเสาจิ่นเรียกฝานฉีเข้ามา กระซิบถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ่าหยวนของนายท่านสี่อยู่ที่ไหน”
ฝานฉีที่อายุสิบสี่ปีเริ่มโตขึ้นแล้ว ตัวสูงกว่าโจวเสาจิ่นไปครึ่งศีรษะ ยามหัวเราะดูเหมือนเด็กดื้อคนหนึ่ง ทว่ายามปกติบนใบหน้าที่ยังไม่เป็นหนุ่มนั้นกลับมีความแน่วแน่และเก็บความรู้สึกเก่งที่พบเห็นได้น้อยในคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
เขากล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ข้าไม่ทราบขอรับ แต่ข้าไปสืบให้คุณหนูรองได้”
เข้าจวนมาสองปี โจวเสาจิ่นให้เขาไปทำธุระให้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ตอนนี้มาคิดดูแล้วยังรู้สึกว่าตัวเองในตอนนั้นช่างใจกล้ายิ่งนัก แต่ตอนที่เขารู้ว่าเพราะคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ได้แต่งงานกับคุณชายใหญ่ตระกูลหลินเร็วขึ้นถึงได้รอดพ้นจากหายนะของครอบครัว อีกทั้งยังช่วยน้องชายน้องสาวของตัวเองไว้ได้นั้น เขาก็เทิดทูนโจวเสาจิ่นมากอย่างอธิบายไม่ได้ รู้สึกว่าคุณหนูรองที่ดูงดงามอ่อนหวานผู้นี้ไม่ธรรมดานัก
ด้วยอุปนิสัยเช่นนี้ ถึงทำให้ฝานฉีในชาติก่อนซื้อทรัพย์สินที่ช่วยให้เขามีกินมีใช้ไม่ขาดตลอดชีวิตภายใต้สภาวะที่ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลยได้กระมัง
โจวเสาจิ่นคิด พลางกล่าว “ได้ยินว่านายท่านสี่ไปที่เจ่าหยวน เจ้าช่วยนำความไปแจ้งนายท่านสี่ให้ข้าหน่อย บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนต้องการพบเขา”
ฝานฉีไม่ได้ถามอะไรมากอีกแม้แต่ประโยคเดียว ขานรับแล้วก็ถอยออกไป
ตกกลางคืน ฝานฉีกลับมารายงานว่า “นายท่านสี่ไม่ได้อยู่ที่เจ่าหยวนขอรับ”
โจวเสาจิ่นหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นได้กลับไปที่ซอยจิ่วหรูหรือไม่”
ฝานฉีกระซิบกล่าว “ไม่อยู่ที่ซอยจิ่วหรูเช่นกันขอรับ”
โจวเสาจิ่นหลับไม่ลงเลยตลอดทั้งคืน วันถัดมาตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ตั้งใจว่าจะไปดูที่เรือนหานปี้ซานสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าหลังจากรับมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ที่บ้านกลับได้รับจดหมายตอบกลับมาของโจวเจิ้น
หลี่ซื่อบอกนางว่า “…บิดาของเจ้าหวังให้เจ้ากลับเมืองเป่าติ้งพร้อมกับข้า”
สิ่งที่โจวเจิ้นตอบกลับมาเป็นการตอบจดหมายฉบับแรกสุดที่หลี่ซื่อส่งให้เขา
ตอนนี้โจวเสาจิ่นไหนเลยจะมีอารมณ์ไปสนใจเรื่องพวกนี้ นางคิดเพียงแต่จะไปตามหาเฉิงฉือให้เร็วที่สุด แต่จดหมายฉบับนี้ก็เป็นข้ออ้างให้นางได้เข้าไปที่ซอยจิ่วหรูพอดี
ยิ่งหลี่ซื่อรู้จักตระกูลเฉิงมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าตระกูลเฉิงมีอิทธิพลมากดังต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึก การที่สามีหวังให้นางมีความสัมพันธ์อันดีกับคนตระกูลเฉิงมิใช่ว่าไม่มีเหตุผล


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน