เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 260

แสงแดดของพระอาทิตย์ยามบ่ายในฤดูใบไม้ผลิส่องเข้ามาภายในห้องหลังฉากกั้นสีเขียว สะท้อนให้ภายในห้องเต็มไปด้วยความร่มรื่นและสดชื่น

โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ภายในห้องหลังฉากกั้นสีเขียวเงียบๆ ฟังฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับจางเฉิงอวี้สนทนากันด้วยอาการใจลอยเล็กน้อย จึงไม่ได้มีกะจิตกะใจจะดูว่าอาจารย์จางผู้เลื่องชื่อของเขาหลงหู่มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง

การที่ท่านน้าฉือใช้นามของท่านยายเอานางมาอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน อยู่ให้ห่างจากผู้นำตระกูล ทั้งยังนึกถึงชื่อเสียงของนางอีก คงจะใช้ความพยายามไปไม่น้อยกระมัง

แต่พอนางบอกว่าไม่อยากมาอยู่ท่านน้าฉือก็ตอบตกลง โดยไม่ว่ากล่าวอะไรเลย ยังให้นางเชื่อใจเขา บอกว่า ในเมื่อข้าทำให้มารดายอมตกลงรับเลี้ยงดูเจ้าได้ ก็ทำให้ท่านอาสะใภ้สี่ยอมยกเลิกแผนการรับเจ้าเข้าจวนได้เช่นกัน อีก แต่เรื่องราวไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น

นางนึกถึงเรื่องราวในชาติก่อนขึ้นมา

ในเวลานั้นนางเอาแต่พึ่งพาพี่สาวทุกอย่าง มีเรื่องอะไรก็ไปหาพี่สาว และพี่สาวเองก็กล่าวกับนางเช่นนี้เช่นกัน แต่ตอนนี้นางเพิ่งจะรู้ว่า นางสร้างความลำบากและยุ่งยากให้พี่สาวมากมายเพียงใด และเพื่อเรื่องของนางแล้วพี่สาวต้องปวดหัวไปแล้วไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

ยามนางอยู่ต่อหน้าท่านน้าฉือ ก็เหมือนกับตอนนางอยู่ต่อหน้าพี่สาวในชาติก่อนอยู่บ้างเล็กน้อย

ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนทิ้งให้เขาเป็นคนจัดการให้

พอได้ยินว่านางจะไม่เป็นอะไร นางก็ดีอกดีใจจนลืมตัวที่ได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป ทว่ากลับไม่เคยมาคิดอย่างถี่ถ้วนเลยว่าการที่ตัวเองทำเช่นนี้จะสร้างความยุ่งยากอะไรให้ท่านน้าฉือบ้างหรือไม่ หรือจะทำให้เขาลำบากอย่างไรบ้างหรือไม่

นางคิดถึงแต่ตัวเองมากไปหรือเปล่า

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือท่านน้าฉือยังดีกับนางมากถึงเพียงนี้

ไม่เพียงเชื่อคำพูดของนาง ยังตามใจให้นางตามมารดาเลี้ยงกลับไปที่เมืองเป่าติ้ง ให้นาง กลับไปรอข่าวที่บ้านให้สบายใจก็พอ

อย่างเรื่องที่ท่านน้าฉือถามนางว่า เหตุใดตระกูลเฉิงถึงได้ถูกตรวจค้น นั้น แม้แต่นางที่เป็นผู้ที่ย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งยังไม่รู้ แล้วนับประสาอะไรกับคนที่เพียงได้ยินเรื่องเล่ามาจากปากของนางอย่างท่านน้าฉือเล่า?

หรือว่านางควรจะรั้งอยู่ที่เรือนหานปี้ซานดี?

อย่างน้อยนางก็ช่วยท่านน้าฉือจัดเรียงความคิดได้

มิใช่ว่าท่านน้าฉือกล่าวเอาไว้หรือว่า ตอนนี้สมองของเขายังไม่แล่น จึงยังไม่มีอะไรที่อยากสอบถามนางในเวลานี้ ด้วยอุปนิสัยของท่านน้าฉือแล้ว นี่เกือบจะเป็นการบอกเป็นนัยอยู่แล้วว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกไร้ทางออกอยู่เล็กน้อยแล้ว…

นางกลับมาอยู่ที่ซอยจิ่วหรูก็แล้วกัน!

แต่ว่าเฉิงสวี่…

นิ้วมือของโจวเสาจิ่นพันเข้าหากัน ทว่าในใจกลับมีเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งบอกนางว่า มิใช่ว่าเจ้าบอกว่าอยากเปลี่ยนแปลงหรอกหรือ บอกว่าอยากเปลี่ยนให้เป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น ไม่ให้เหมือนกับชาติก่อนที่รู้จักแต่พึ่งพาผู้อื่น แล้วเหตุใดถึงต้องการหนีไปเล่า มิใช่ว่าเรื่องเหล่านั้นยังไม่เกิดขึ้นหรอกหรือ ตอนที่ย้อนกลับมาใหม่ๆ เจ้าตั้งประณิธานเอาไว้ว่า หนึ่งต้องตอบแทนหลินซื่อเซิ่ง สองต้องบอกจุดจบของตระกูลเฉิงให้เฉิงจิงทราบ ตอนที่ตั้งประณิธานนั้น เจ้าเองก็รู้สึกว่ามันหนักหนา เสมือนว่าทั้งสองเรื่องเป็นดังขุนเขาสองลูกที่กดทับใจของเจ้าไว้มิใช่หรือ ทว่าตอนนี้เล่า หลินซื่อเซิ่งกับมู่อี๋เหนียงก็แต่งงานกันแล้ว ส่วนเรื่องของตระกูลเฉิงก็บอกท่านน้าฉือผู้ที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่อาจล้มเขาได้ผู้นั้นไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนมิใช่เรื่องที่สำเร็จลงได้อย่างง่ายดายด้วยการก้าวเพียงก้าวเดียว ล้วนต้องใช้ความกล้าหาญไปกระทำทั้งสิ้น

จริงอยู่ที่ชาติก่อนเฉิงสวี่รังแกเจ้า แต่ชีวิตนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยมิใช่หรือ

เมื่อก่อนเจ้าตัวคนเดียว แต่ตอนนี้มีท่านน้าฉือ อีกทั้งยังมีฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านยายที่คอยปกป้อง จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เลยหรือ

ชาติก่อน เจ้ามีชีวิตที่ไม่ดี ตัวเองก็มีส่วนผิด ชาตินี้ ก็จะปล่อยให้มันไหลไปตามน้ำเหมือนชาติก่อนอย่างนั้นหรือ

โจวเสาจิ่นกำมือเป็นกำปั้นจนแน่น

นางจะต้องเข้มแข็งขึ้นมาให้ได้

ไม่อาจเอาแต่หวังให้คนอื่นมาช่วยเหลือนางอยู่ตลอด

ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นท่านน้าฉือก็ตาม

และนางเองก็ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นภาระของท่านน้าฉือได้

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็ลุกขึ้นมาด้วยอารามกระวนกระวายเล็กน้อย เดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องหลังฉากกั้นสีเขียวสองครั้ง กระทั่งได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่ากัวสั่งให้ปี้อวี้ไปส่งแขก อารมณ์ของนางถึงได้สงบลงมา

เช่นนั้นก็ตัดสินใจตามนี้ก็แล้วกัน

นางจะย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานอย่างที่ท่านน้าฉือได้ตัดสินใจเอาไว้ก่อนหน้านี้ และก็จะขอร้องท่านน้าฉือไม่ให้เฉิงสวี่มาที่เรือนหานปี้ซาน

รอให้เฉิงสวี่ค้นพบว่าท่านย่าที่เคยถนอมเขาไว้ในอุ้งมือมาตลอดไม่ใช่คนที่เขานึกอยากพบเมื่อไรก็พบได้ตลอดแล้ว การแสดงออกนั้นจะต้องเจริญตาไม่น้อยเป็นแน่

โจวเสาจิ่นคิดเช่นนี้แล้วก็ให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือบอกการตัดสินใจของตัวเองให้ท่านน้าฉือทราบ

อย่างไรก็ตาม ท่านน้าฉืออาจจะรำคาญที่นางประเดี๋ยวก็เลือกทางซ้ายประเดี๋ยวก็เลือกทางขวาตัดสินใจไม่ได้เสียทีก็เป็นได้!

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอย่างเป็นกังวล จนกระทั่งถึงเวลาอาหารแล้วก็ยังคงกระวนกระวายใจเล็กน้อยอยู่

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้ว ทว่าไม่ได้กล่าวอะไร

เด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีกำลังอยู่ในวัยที่คิดมาก แค่เสื้อผ้ามีรอยยับย่นรอยหนึ่งก็อาจจะกระวนกระวายไปครึ่งค่อนวันแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสนใจมาก รอให้ผ่านไปสักสองสามชั่วยามเมื่อรอบกายมีเรื่องอื่นเกิดขึ้นก็จะลืมไปเอง

นางยิ้มพลางให้ปี้อวี้นำอาหารมาขึ้นโต๊ะ “ปลาสือ[1]นี้ทำได้ไม่เลว เจ้าลองชิมดู”

นี่เพิ่งจะเดือนสาม ทว่ารายการอาหารของเรือนหานปี้ซานก็มีปลาสือแล้ว

ข้าวปลาอาหารของเรือนหานปี้ซานช่างดียิ่งนัก!

หากนางอาศัยอยู่ที่นี่สักสองปี ไม่รู้ว่าหลังจากกลับออกไปแล้วจะติดเป็นนิสัยหรือไม่!

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย ถามเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือไม่มาร่วมรับประทานอาหารกับพวกเราหรือเจ้าคะ”

“เขาไปส่งจางเฉิงอวี้” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ “ต่อให้กลับมารับประทานอาหาร นั่นก็คงต้องเป็นเรื่องของหลังเที่ยงเสียแล้ว”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า กระทั่งรับมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อย ดื่มชาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวจอกหนึ่งแล้ว สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเผยความเหนื่อยล้าออกมาต้องการจะไปพักผ่อนแล้ว แต่เฉิงฉือก็ยังไม่กลับมา

นางจำต้องลุกขึ้นกล่าวอำลา แล้วกลับเรือนเจียซู่

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถามนางยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่าอย่างไรบ้าง”

โจวเสาจิ่นกล่าว “ถามว่าพรุ่งนี้ฮูหยินมีเวลาว่างหรือไม่ หากมีเวลาว่าง จะขอเชิญนางมากินข้าวด้วยเจ้าค่ะ”

ตอนที่ 260 ไม่แน่นอน 1

ตอนที่ 260 ไม่แน่นอน 2

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน