ให้นางรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรู ยังให้ย้ายมาอยู่ที่จวนหลัก ที่แท้เรื่องนี้ก็เป็นความคิดของท่านน้าฉือนี่เอง!
โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉืออย่างตกตะลึง ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติกลับมา
เฉิงฉือประหลาดใจยิ่งนัก
เขาคาดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นจะปฏิเสธเรื่องนี้
มองจากมุมของเขาแล้ว นี่เป็นแผนที่ดีที่สุดแล้ว
ทั้งได้ช่วยเหลือตระกูลเฉิงอย่างที่โจวเสาจิ่นคาดหวังเอาไว้ และโจวเสาจิ่นก็ได้เป็นอิสระจากจวนสี่ ได้ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองปรารถนา
แต่โจวเสาจิ่นไม่ได้กลัวว่าจะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน
กว่าตระกูลเฉิงจะเกิดเรื่องขึ้นก็อีกสิบเอ็ดปีข้างหน้า ในเวลานั้นโจวเสาจิ่นก็แต่งงานออกไปแล้ว หญิงสาวที่แต่งงานออกไปแล้วย่อมไม่ถูกตัดสินว่ามีส่วนผิดด้วย ในเมื่อนางย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ย่อมต้องทราบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
ไม่อย่างนั้นนางเองก็คงจะไม่เล่าความลับของตัวเองให้เขาฟังเหมือนกัน
เช่นนั้นก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียวแล้ว
นั่นก็คือนางไม่อยากพบหน้าเฉิงสวี่
เมื่อความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัว เฉิงฉือเม้มปากแน่นอย่างห้ามไม่อยู่
ตกลงว่าชาติก่อนเฉิงสวี่ทำเรื่องอะไรไว้กันแน่?
เขาควรจะเปิดเผยบาดแผลในใจนี้ของโจวเสาจิ่นหรือไม่
คนที่แน่วแน่มั่นคงมาโดยตลอดอย่างเฉิงฉือพลันลังเลตัดสินใจไม่ได้ขึ้นมา
โจวเสาจิ่นกลับก้มศีรษะลง กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ข้าอยากตามมารดาเลี้ยงกลับไปที่เป่าติ้งเจ้าค่ะ หากท่านมีอะไรที่อยากถามข้า ก็ใช้เวลาช่วงที่ข้ายังอยู่ที่จินหลิงนี้สอบถามข้าก็ได้ หรือเขียนจดหมายไปหาข้าที่เป่าติ้งก็ได้ ข้าจะบอกทุกอย่างที่รู้อย่างแน่นอน ท่านวางใจได้เจ้าค่ะ!”
ขนตายาวของนางที่ประดับอยู่บนเปลือกตา ทิ้งเงารางๆ เอาไว้ ดูเชื่องว่าง่ายประหนึ่งลูกแกะน้อยตัวหนึ่ง
ทันใดนั้นเฉิงฉือพลันรู้สึกทนไม่ได้อยู่ในใจ
นี่เป็นเรื่องของตระกูลเฉิง สิ่งที่นางต้องทำนางก็ทำแล้ว สิ่งที่ไม่ต้องทำนางก็ทำแล้วเช่นกัน เขายังจะลากนางลงน้ำมาด้วยอีกทำไม?
และก็เป็นอย่างที่นางกล่าวมา ถ้าเขาอยากรู้อะไรเพิ่มจริงๆ อย่างมากก็เขียนจดหมายหรือไม่ก็ส่งคนไปถามนางได้ นางไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ที่จวนหลักก็ได้
เขาลดเสียงลงพลางกล่าว “เสาจิ่น เรื่องนี้เป็นน้าฉือเองที่พิจารณาได้ไม่รอบด้าน เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เจ้าตามพี่สาวของเจ้ามาอยู่ที่ซอยจิ่วหรูนานหลายปีเพียงนี้ ก็คงจะคิดถึงบ้านเป็นอย่างมากแล้ว ตอนนี้พี่สาวของเจ้าออกเรือนไปแล้ว เจ้าก็ควรจะกลับไปอยู่กับบิดาของเจ้า ไปอยู่เป็นเพื่อนบิดาและมารดาเลี้ยงของเจ้าให้มากถึงจะถูก!”
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น มองเฉิงฉืออย่างประหลาดใจ
นางคิดว่าตัวเองอาจจะต้องใช้เวลาอย่างมากในการโน้มน้าวเฉิงฉือ กระทั่งอาจจะต้องเล่าประสบการณ์อันเลวร้ายบางส่วนของชาติก่อนให้ท่านน้าฉือฟัง ท่านน้าฉือถึงจะยอมให้นางตามมารดาเลี้ยงกลับไปที่เป่าติ้ง
“ท่าน…” นางมองเฉิงฉืออย่างฉงนสงสัย เสมือนกับว่าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่อย่างไรอย่างนั้น
เฉิงฉือหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เจ้าเด็กคนนี้ มันน่ายิ่งนัก โง่เขลาจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ต้องอย่าปล่อยให้ผู้อื่นขายแล้วยังจะช่วยผู้อื่นนับเงินอีกสิถึงจะถูก
เขากล่าว “ข้าให้ซางมามากลับไปเมืองเป่าติ้งเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน!”
“อะไรนะเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกระพริบตาปริบๆ ถึงได้เข้าใจความหมายของเฉิงฉือ นางรีบโบกมือ พลางกล่าว “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ ซางมามาไปแล้ว ผู้ใดจะรับใช้ท่าน!” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็คิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ท่านน้าฉือ ฮูหยินผู้เฒ่าคงตอบตกลงให้ข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานแล้วกระมัง หากข้าจากไปเช่นนี้ แล้วท่านจะอธิบายกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าอย่างไรเจ้าคะ!”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เจ้าเพิ่งจะมากังวลเรื่องนี้เอาตอนนี้น่ะหรือ แล้วเมื่อกี้ทำอะไรลงไป”
โจวเสาจิ่นอดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้
สิ่งที่ท่านน้าฉือทำล้วนเป็นผลดีต่อตัวนางทั้งสิ้น แต่เป็นปมในใจของนางเอง ก็เลยไม่อยากมาอาศัยอยู่ที่จวนหลัก
นางมองเฉิงฉืออย่างกระดากอาย นัยน์ตากระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เจ้าเด็กคนนี้ ดวงตาคู่นั้นประหนึ่งพูดได้ก็ไม่ปาน
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เอาล่ะๆ เจ้าก็อย่าได้รู้สึกไม่ดีเลย เจ้ามิใช่พูดว่าเชื่อมั่นในตัวน้าฉือหรอกหรือ ในเมื่อข้าทำให้มารดายอมตกลงรับเลี้ยงดูเจ้าได้ ก็ทำให้ท่านอาสะใภ้สี่ยอมยกเลิกแผนการรับเจ้าเข้าจวนได้เช่นกัน เจ้าเพียงกลับไปรอข่าวที่บ้านให้สบายใจก็พอแล้ว”
จริงด้วย!
ท่านน้าฉือเก่งกาจที่สุด
เพียงไม่กี่ประโยคเขาก็ปกปิดเรื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าได้ ชาติก่อนยังไปบุกลานประหารอีก แน่นอนว่าต้องมีวิธีทำให้ท่านยายยอมถอนคำพูดเป็นแน่
นางก็จะได้ตามมารดาเลี้ยงไปเมืองเป่าติ้งแล้ว
และนางก็จะได้หลีกหนีจากชะตาของชาติก่อนด้วยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณเฉิงฉืออย่างลิงโลด ดวงหน้าที่งดงามนั้นยิ้มตาหยีจนโค้งมนคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยว
ต้องดีใจมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ
เฉิงฉือรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ
เพียงปล่อยนางกลับไปเท่านั้น นางก็ดีใจจนเสมือนกับลูกนกที่ได้รับการปล่อยตัวออกจากกรงก็ไม่ปาน
เกรงว่าเรื่องราวคงจะร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้เป็นแน่
แต่นางไม่พูด ผู้ใดก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าสิ่งที่นางเคยพานพบมานั้นเป็นความเจ็บปวดประเภทใด
เขากล่าวขึ้นอย่างทนไม่ได้ว่า “เสาจิ่น เจ้าเคียดแค้นหรือไม่”
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ
เฉิงฉือกล่าว “เจ้ามองคนที่เคยทำร้ายเจ้าเหล่านั้นแล้ว เจ้าเคยเคียดแค้นหรือไม่”
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงเงียบๆ กล่าวเสียงเบาว่า “แน่นอนว่าต้องเคียดแค้นอยู่แล้วเจ้าค่ะ! บางครั้งยามที่ข้าเห็นพวกเขา ก็ปรารถนาให้พวกเขาไถลตกลงไปในทะเลสาบตอนที่ไปร่วมงานเลี้ยง ถูกทุกคนหัวเราะเยาะมองเป็นเรื่องขบขัน หรือไม่ก็อ้างอิงแหล่งที่มาผิดยามที่กำลังแสดงอยู่ต่อหน้าทุกคนด้วยความภาคภูมิใจ ให้ต้องขายหน้า ให้มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้ไร้ความสามารถ…แต่ชาตินี้พวกเขายังไม่ได้รังแกข้า ข้าคงไม่อาจเอาความทรงจำของชาติที่แล้วมาล้างแค้นพวกเขาหรอกกระมัง บางครั้งยามข้าคิดถึงมัน ตัวเองก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกชิงชัง…และยังรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนักอีกด้วย ทว่าคนที่ถูกเคียดแค้นเหล่านั้นต่างไม่รู้เรื่อง มีแต่ข้าที่กัดฟันเคียดแค้นอยู่ตรงนั้นเพียงผู้เดียวเท่านั้น…” ขณะที่นางกล่าว นึกถึงว่าเรื่องราวเหล่านี้ล้วนผ่านพ้นไปแล้ว และนางก็ได้ตอบแทนหลินซื่อเซิ่งตามที่ปรารถนาแล้ว อีกทั้งยังได้โยนภาระเรื่องของตระกูลเฉิงให้ท่านน้าฉือไปแล้ว…นางจึงเงยหน้าขึ้นค่อยๆ เผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “แต่ว่าตอนนี้ดีแล้ว ได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ท่านน้าฉือฟัง ข้าสบายใจขึ้นมากแล้ว แล้วก็ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉิงฉือเข้าใจว่าเหตุใดผู้คนถึงได้ใช้คำที่ว่า ‘ราวกับใจถูกทิ่มแทงด้วยมีด’ ยามต้องการอธิบายถึงอาการเจ็บปวดใจ
เฉิงสวี่ทำใจทำร้ายโจวเสาจิ่นอย่างโหดเหี้ยมได้อย่างไร

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน