เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 263

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วใบหน้าเล็กๆ นั้นก็พลันสว่างไสวขึ้นมา ดวงตาสุกสกาวแพรวพราวราวกับอัญมณี เอ่ยขึ้นว่า “จริงหรือเจ้าคะ”

เฉิงฉือหลุดหัวเราะ ตบศีรษะเล็กนั้นเบาๆ พลางกล่าว “ข้าเคยโกหกเจ้าเมื่อใดกัน”

“ไอ้หยา!” โจวเสาจิ่นลูบศีรษะ หัวเราะขึ้นมาอย่างเขินอาย

เฉิงฉือกล่าว “ท้องฟ้าสดใสหลังฝนผ่านพ้นแล้วใช่หรือไม่”

โจวเสาจิ่นหน้าแดง จากนั้นนึกถึงวัตถุประสงค์ที่ตนมาหาเฉิงฉือขึ้นมา รีบดึงแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ข้า…ข้ายังคงฟังคำของท่าน จะรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือประหลาดใจยิ่งนัก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “มีใครมาพูดอะไรกับเจ้าใช่หรือไม่”

นางคิดว่าท่านน้าฉือจะดีใจเสียอีก!

โจวเสาจิ่นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดตกแล้วเจ้าค่ะ! จริงๆ ข้าไม่รู้ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และก็ไม่รู้ว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ส่วนใดบ้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่าน ไม่สู้ข้ารั้งอยู่ต่อไป ช่วยท่านจัดเรียงความคิดอะไรได้บ้าง รอให้ท่านหาปมปัญหาเจอแล้ว ข้าจะได้จากไปอย่างสบายใจขึ้นบ้างเจ้าค่ะ”

อารมณ์ของเฉิงฉือปั่นป่วน ราวกับว่ามีอะไรจะปะทุออกมา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด

เจ้าเด็กโง่ผู้นี้ ถูกทำร้ายมาหนักขนาดนั้น หากเป็นผู้อื่นคงรีบหนีไปให้ไกลแล้ว แต่นางก็ดี กลับวิ่งกลับมาด้วยตัวเอง

เฉิงฉือไม่กล่าวอะไรไปครู่ใหญ่ ตอนที่เอ่ยปากกล่าวอีกครั้ง น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ต่อให้ตระกูลเฉิงจะถูกตรวจสอบ นั่นก็เป็นเรื่องของอีกสิบเอ็ดปีข้างหน้า เจ้ารั้งอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์มากมายเท่าไร ตามมารดาเลี้ยงของเจ้ากลับไปที่เมืองเป่าติ้งจะดีกว่า นอกจากนี้ เฉิงสวี่ใกล้จะกลับมาแล้ว มิใช่ว่าเจ้าไม่อยากเจอเขาหรอกหรือ”

นิ้วของโจวเสาจิ่นพันเข้าหากัน ก้มหน้ากล่าวว่า “ข้า…ข้าจะป้องกันตัวเองเจ้าค่ะ” ชาติก่อนนางเสมือนกับนกกระจอกเทศที่ไม่คิดถึงเรื่องนี้ ชาตินี้ก็เหมือนกัน

นางเงยหน้าขึ้น เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก็เพราะว่าเรื่องที่ตระกูลเฉิงจะถูกตรวจสอบเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบเอ็ดปีข้างหน้า ข้าจึงยิ่งควรรั้งอยู่ต่อ ท่านน้าฉือ ท่านไม่รู้อะไรเลย ส่วนข้ากลับรู้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นบ้างในอีกสิบเอ็ดปีข้างหน้า มิใช่มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า ‘ไร้ซึ่งก้าวเล็กๆ ย่อมมิอาจบรรลุระยะทางพันหลี่ ไร้ซึ่งน้ำพุสายเล็กๆ ย่อมมิอาจกลายเป็นแม่น้ำหรือทะเลได้’ หรอกหรือเจ้าคะ ความล่มจมของตระกูลเฉิงย่อมมิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน หากพวกเราเริ่มต้นตรวจสอบเสียแต่ตอนนี้ ย่อมดีกว่าและปลอดภัยกว่าค่อยคิดหาวิธีรับมือเอาตอนเวลากระชั้นชิดนะเจ้าคะ”

เฉิงฉือมองใบหน้าจริงจังทว่าเผยให้เห็นความสดใสที่อยู่เบื้องหน้าใบหน้านั้นแล้ว เม้มริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ กล่าวเสียงนุ่มว่า “เสาจิ่น เจ้าใช้ ‘การกลับมามีชีวิตใหม่’ ซึ่งมิใช่ ‘ความฝัน’ มากรอบประสบการณ์อันขมขื่นของเจ้า จะบอกว่า ชีวิตในชาติก่อนของเจ้าก็เหมือนกับชาตินี้ ที่ต้องใช้เวลาทุกลมหายใจ ทุกเค่อ และทุกชั่วยามไปอย่างขมขื่นใช่หรือไม่”

“ใช่เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเหตุใดเฉิงฉือถึงถามเรื่องพวกนี้กับนางในเวลานี้ แต่นางก็ยังคงตอบตามความสัตย์จริงว่า “บางครั้งก็รู้สึกว่าวันเวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า หวังให้เป็นเพียงความฝัน ที่พอลืมตาตื่นขึ้น ข้าก็กลับไปยังอดีต ที่ยังคงเล่นแข่งไขว้ต้นหญ้าอยู่บนพื้นหญ้าภายใต้พระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิกับชุนหว่าน ยังคงขังตัวเองอยู่ในห้องอย่างขุ่นเคืองเนื่องจากพี่สาวมีเสื้อผ้าชุดใหม่มากกว่าข้า…ตอนนั้นข้าคิดว่า หากข้าได้ย้อนเวลากลับไปยังอดีตจะดีเพียงใด…คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งข้าจะได้ย้อนกลับมายังอดีตจริงๆ…”

น่าเสียดายที่เป็นอย่างที่ท่านน้าฉือกล่าวมา ว่าทุกลมหายใจ ทุกเค่อ และทุกชั่วยามนางล้วนต้องตรากตรำไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างยากเย็น

เวลานั้น อยู่ไม่สู้ตายจริงๆ ทว่าก็ไม่อาจตายได้

นางยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ได้ส่งพี่สาวไปอยู่ต่างที่ ทำให้พี่สาวไม่ต้องเจ็บปวดใจมากขนาดนั้นอีก

ปากของเฉิงฉืออ้าแล้วก็หุบ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฉะนั้นเจ้าก็อย่าเสียใจอีกเลย! เจ้าดู โลกนี้จะสักกี่คนที่โชคดีเหมือนเจ้าบ้าง เห็นได้ชัดว่าพระพุทธองค์ช่างเมตตาเจ้ายิ่งนัก”

โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพร้อมกับพยักหน้า ดวงตาโตโค้งมนจนคล้ายพระจันทร์เสี้ยว

ปกติท่านน้าฉือพูดจาฉะฉาน ไม่เคยมีอาการลังเลหรือละล้าละลังมาก่อน แต่เมื่อครู่ริมฝีปากกลับเปิดๆ ปิดๆ ครู่หนึ่งแล้วถึงเอ่ยปากกล่าว เขาต้องมิได้คิดจะปลอบโยนนาง แต่อยากจะถามอะไรบางอย่างกับนางมากกว่า แต่ก็กลัวว่านางจะเสียใจ ก็เลยเปลี่ยนใจไม่ถามกะทันหัน

นางกัดริมฝีปากอย่างอดไม่ได้

ตกลงท่านน้าฉืออยากถามอะไรนางกันแน่นะ

จะเกี่ยวกับเรื่องที่นางถูกหยามเกียรติหรือไม่

หากมิใช่ว่าสุดท้ายแล้วตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และลงโทษทั้งตระกูลโดยไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียวล่ะก็ นางก็คงจะสงสัยว่าเรื่องของตระกูลเฉิงเป็นผลมาจากการฟาดฟันกันลับๆ ระหว่างจวนรองกับจวนสามแล้ว

แต่นางรู้สึกว่าเรื่องที่ตระกูลเฉิงถูกยึดทรัพย์และลงโทษนี้ต้องไม่ได้เกิดจากเรื่องความแค้นส่วนตัวธรรมดาๆ เป็นแน่

ต่อให้จวนรองกับจวนสามจะสร้างความวุ่นวายอย่างไร แต่ก็ไม่น่าจะลากซอยจิ่วหรูทั้งหมดลงไปด้วย

อย่างไรก็ตาม หากหายนะของซอยจิ่วหรูเกิดจากความขัดแย้งระหว่างจวนหลักกับจวนรองเล่า

เรื่องที่เกิดที่สวนดอกไม้นั่น ก็ยิ่งต้องบอกให้เฉิงฉือรู้

โจวเสาจิ่นรู้สึกสมองตื้อเล็กน้อย

เฉิงฉือกล่าวขึ้นก่อนว่า “เสาจิ่น เจ้าน่าจะไม่ได้พบหน้าบิดาของเจ้ามานานแล้วกระมัง เป่าติ้งเป็นสถานที่ที่ไม่เลวนัก เจ้าไม่สู้ตามมารดาเลี้ยงของเจ้ากลับไปที่เป่าติ้งตามความปรารถนาเดิมของเจ้า ไปใช้เวลาอยู่กับบิดาของเจ้าดีๆ ช่วงหนึ่ง รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแล้ว ข้าค่อยรับเจ้ากลับเมืองจินหลิง มาอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ของข้าช่วงหนึ่ง…”

เหตุใดถึงอยากให้นางไปอยู่เป่าติ้งช่วงหนึ่งด้วยเล่า

ไปๆ มาๆ ช่างวุ่นวายและเหน็ดเหนื่อยยิ่ง

ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสเหล่านั้นจะพูดกันว่า ‘คนที่ไม่ต้องออกเดินทางไปไหนตลอดชีวิต ถือเป็นคนมีวาสนาดีผู้หนึ่ง’ ไปเพื่ออะไร

โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉืออย่างฉงนสงสัย

นัยน์ตาของเฉิงฉือสุกใสประหนึ่งดวงดาราที่พร่างพราวอยู่บนฟากฟ้ายามค่ำคืน ทว่าเวลานี้กลับดูมืดมนเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา

เดือนแปดมีการสอบขุนนางช่วงสารทฤดู

เพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อนอบอ้าวช่วงฤดูร้อน และก็เพื่อเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับการสอบที่สุดแล้ว เฉิงสวี่จึงน่าจะกลับมาถึงซอยจิ่วหรูช่วงฤดูใบไม้ผลิ

ท่านน้าฉือรู้ทุกเรื่องใช่หรือไม่

ไม่ว่านางจะเล่าหรือไม่เล่าก็ตาม

ด้วยความฉลาดและเก่งกาจของเฉิงฉือแล้ว จะไม่ทราบได้อย่างไร

ขอบตาของนางรื้นชื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านน้าฉือแสดงความเป็นห่วงและใส่ใจออกมาอย่างเงียบๆ หรือเป็นเพราะความทรงจำอันไม่น่าจดจำที่ถูกกดทับและเก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจได้ถูกระลึกถึงขึ้นมาอีกครั้งกันแน่

โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลง

นางไม่อยากจะเผยความอ่อนแอออกมายามอยู่ต่อหน้าท่านน้าฉือเช่นนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกลับเสียอาการครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างควบคุมไม่ได้

เพื่อมิให้เฉิงฉือสังเกตเห็น นางรีบใช้หลังมือเช็ดที่หางตาอย่างรวดเร็ว

เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นที่เห็นๆ อยู่ว่ากำลังเสียใจเป็นอย่างมากทว่ากลับฝืนเอาไว้ด้วยไม่อยากให้ผู้อื่นสังเกตเห็นแล้ว ก็อดทอดถอนใจอยู่ในใจไม่ได้

เขายื่นมือออกไป หมายจะแตะที่ศีรษะนางเบาๆ เพื่อปลอบโยน แต่ยื่นมือออกไปถึงกลางอากาศแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร

ตอนที่ 263 ไม่เข้าใจ 1

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน