ถึงว่าตอนนั้นท่านน้าฉือถามนางว่า ตอนนั้นข้ากำลังทำอะไรอยู่
เพราะว่าท่านน้าฉือไม่ใช่คนประเภทที่ชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า!
โจวเสาจิ่นคว้ามือของเฉิงฉือเอาไว้ ร้องไห้โฮขึ้นมา “ท่านน้าฉือๆ…”
“เสาจิ่นๆ!” เฉิงฉือกล่าวเสียงขรึม ในน้ำเสียงแฝงความสุขุมที่บุรุษมักจะมีเอาไว้ “เจ้าอย่าร้องไห้! มีอะไรพวกเรามาพูดคุยกันดีๆ มีอะไรก็เก็บเอาไว้ในใจ คิดไปคิดมาซ้ำๆ อยู่เพียงผู้เดียว มีแต่จะนำไปสู่ทางตันเท่านั้น”
ทำไมโจวเสาจิ่นจะไม่เข้าใจ เพียงแต่พอนางคิดว่าพี่เขยที่ดีกับนางราวกับพี่น้องแท้ๆ อาจจะรับความช่วยเหลือมาจากตระกูลเฉิง กระทั่งอาจจะใช้ตัวเองเป็นข้อแลกเปลี่ยน และพี่สาวก็ไม่ทราบเรื่อง เพื่อให้มีบุตรชายให้พี่เขยแล้วยังขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์จนเหลือจะกล่าวนั้นแล้ว นางก็รู้สึกเสียใจประหนึ่งหัวใจถูกแทงด้วยมีดก็ไม่ปาน
“เอาล่ะๆ!” เฉิงฉือกระชับนางเอาไว้ในอ้อมกอด กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ร้องแล้ว มีอะไรก็บอกข้าดีๆ ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง”
อ้อมกอดอบอุ่น กลิ่นของน้ำหอมดั่งที่ได้ยินมา และคำมั่นของเฉิงฉือ ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกสงบขึ้น นางค่อยๆ หยุดร้องไห้ จับเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้ เล่าเรื่องของเลี่ยวเส้าถังให้เฉิงฉือฟังอย่างระมัดระวัง
เฉิงฉือหัวเราะเบาๆ
เสียงหัวเราะนั้นดังลอดออกมาจากช่วงอก แก้วหูของโจวเสาจิ่นสั่นไหว ความรู้สึกนี้ทั้งแปลกใหม่ และยังทำให้ใจของนางเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ ผ่านไปครู่ใหญ่กว่านางจะสงบลงมาได้ ยืนตัวตรงขึ้นอย่างประดักประเดิดเล็กน้อย
เฉิงฉือไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ไม่ว่าใครที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวดเหมือนโจวเสาจิ่นเช่นนี้ หลังจบเรื่องย่อมรู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง
เขาเพียงแต่ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าจะให้ข้าว่ากล่าวเจ้าอย่างไรดี ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย ตอนที่เจ้าแต่งงานผู้ใดเป็นพ่อสื่อให้เจ้า”
“พี่เขยเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นตอบอย่างไม่เข้าใจ
เฉิงฉือกล่าว “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีก ตอนนั้นเจ้าอายุเท่าไร พี่เขยเจ้าอายุเท่าไร กำลังทำอะไรอยู่”
โจวเสาจิ่นตอบอย่างงงๆ ว่า “เวลานั้นข้าอายุสิบหกปี พี่เขย…ยี่สิบสามปี ยังเป็นเพียงซิ่วไฉผู้หนึ่ง เพิ่งไปถึงจิงเฉิงได้หนึ่งปี ศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาหลวง ยามปกติจะติดตามช่วยทำงานเอกสารต่างๆ ให้กับศิษย์พี่ที่เป็นขุนนางเส่าชิงประจำศาลต้าหลี่ผู้หนึ่งของเขา…”
เวลานั้น มีคนของตระกูลคัดค้านฐานะผู้สืบทอดตระกูลของพี่เขย วันเวลาของพี่เขยจึงผ่านไปอย่างยากลำบาก
หลังจากที่ช่วยให้นางได้หมั้นหมายกับหลินซื่อเซิ่งแล้ว นางไม่มีสินติดตัว ตอนที่พี่สาวเอ่ยขึ้นมาว่าจะแบ่งสินติดตัวของมารดาแท้ๆ ของตัวเองมาให้นางใช้ทำเป็นสินติดตัวนั้น พี่เขยยังช่วยพี่สาวปิดบังเรื่องนี้เอาไว้จากคนของตระกูลเลี่ยวอีกด้วย
นางยังจำได้ว่า ต่อมาเมื่อพี่เขยได้เป็นขุนนางแล้ว นำเงินเดือนมาใช้หนี้ตั้งนาน ต่อมาเป็นหลินซื่อเซิ่งที่ลากเขาไปทำการค้าด้วยครั้งหนึ่ง พี่เขยถึงได้ใช้หนี้เงินที่ยืมมาใช้สำหรับเป็นสินติดตัวให้นางตอนแต่งงานจนหมด
เฉิงฉือกล่าวต่อว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่ได้บอกเจ้า แต่ข้าคิดว่าเจ้าพอจะทราบรางๆ อยู่ในใจบ้างแล้ว หากมิใช่เพราะพวกเจ้าอยากไปสักการะพระพุทธองค์ที่เขาผู่ถัว ฤดูใบไม้ร่วงของปีหน้าข้าก็คงจะไปจากตระกูลเฉิงแล้ว หากมิใช่หยุดพักที่กวนวั่ยที่ปกคลุมไปด้วยภูเขาน้ำแข็ง ก็คงหยุดพักที่ก่วงตงที่ที่อากาศประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิทั้งสี่ฤดู อย่างน้อยก็อีกสามถึงสี่ปีถึงจะได้กลับมา แต่กลับมาแล้วก็ไม่น่าจะอยู่บ้านนาน เพียงมาเยี่ยมมารดาของข้าแล้วก็ไปเลย จากนั้นก็อาจจะกลับมาเยี่ยมมารดาของข้าบ้างทุกๆ สองสามปี…”
โจวเสาจิ่นพอจะเข้าใจบ้างแล้ว
นางกะพริบตา ในแววตาที่งงงวยเล็กน้อยนั้นค่อยๆ มีแววสุกใสขึ้นมา “ท่านจะบอกว่า ตอนแรกนั้นพี่เขยไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือกล่าว “เรื่องของชาติก่อนนั้นข้าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับมัน ข้าจึงไม่รู้ อย่างไรก็ตาม ด้วยคนอย่างมารดาของข้าแล้ว หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นกับเจ้า นางไม่มีทางทนดูดายให้เจ้าจากไปเช่นนั้นได้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้านั้นตรงกับช่วงที่ข้าไปจากตระกูลเฉิงพอดี นางกำลังอยู่ในห้วงเสียใจ จึงไม่มีเรี่ยวแรงพอมาจัดการเรื่องพวกนี้” เขากล่าว แล้วก็หยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวอีกว่า “หากให้ข้ามาจัดการในตอนนี้ ถ้าเจ้ากับเฉิงเจียซ่านอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ สิ่งแรกที่ข้าคิดได้ก็อาจจะเป็นการชดเชยให้เจ้า ให้เจ้าได้มีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต” แต่โจวเสาจิ่นยอมแต่งงานแบบหลอกๆ กับผู้อื่นมากกว่ายอมแต่งงานกับเฉิงสวี่ เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ในตอนนั้นรุนแรงไม่น้อย “หากเจ้าไม่ยอมรับไว้ ก็อาจจะนึกถึงบิดาของเจ้า แต่จากคำพูดของเจ้าแล้วฟังได้ความว่า ชาติก่อนเจ้าได้รับการปกป้องจากพี่เขยของเจ้าจริงๆ และพี่เขยของเจ้าก็อายุมากกว่าเจ้าเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น จึงสันนิษฐานได้ว่า หากเลือกพี่เขยของเจ้าเป็นที่กำบังให้เจ้า ย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
คำพูดของเขาเป็นดังแสงแดดอบอุ่นลำแสงหนึ่งที่สาดส่องเข้ามาภายในจิตใจที่เงียบสงัดของโจวเสาจิ่น
ดวงตาของนางยิ่งอยู่ก็ยิ่งสว่างไสวแวววาวขึ้น
“ท่านน้าฉือ ท่านกล่าวได้ถูกต้อง!” นางกล่าวขึ้นอย่างตื้นตันใจเล็กน้อย “ต่อมาเมื่อตระกูลเฉิงล้มลง พี่เขยถึงกับยอมใช้ตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลเลี่ยวมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัยของพี่สาวและหลานชาย…เป็นข้าเองที่ประเมินน้ำใจของผู้สูงส่งด้วยจิตใจของผู้ต่ำต้อย เข้าใจพี่เขยผิดไป”
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพยักหน้า
โจวเสาจิ่นดึงแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้อย่างอดไม่ได้ กล่าวอย่างขัดเขินเล็กน้อยว่า “ท่านน้าฉือ ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ! หากไม่ได้ท่าน ข้าต้องเข้าใจพี่เขยผิดไปแล้วแน่ๆ”
ความรู้สึกและความทรงจำดีๆ อันสวยงามในชาติก่อนเหล่านั้นก็อาจจะถูกทำลายไปในพริบตาด้วยเช่นเดียวกัน
เฉิงฉือมองท่าทางเสมือนเด็กน้อยของนางแล้ว ก็ยิ้มพลางลูบศีรษะนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงการสอนเอาไว้หลายส่วนว่า “ต่อไปหากพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกก็ต้องคิดใคร่ครวญให้มาก อย่าเอาแต่ร้องไห้ การร้องไห้ช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงขณะพยักหน้า กล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ท่านน้าฉือ ท่านว่า ชาติก่อนพี่เขยข้าจะรู้หรือไม่ว่าเขาได้รับความช่วยจากท่านหรือไม่ก็จากฮูหยินผู้เฒ่า”
เฉิงฉือกล่าว “ต่อให้เขารู้แล้วอย่างไร หรือไม่รู้แล้วอย่างไร การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คนไม่อาจมีแค่ขาวหรือดำเท่านั้น ยังมีเทาด้วย เขาให้ความช่วยเหลือเจ้าตอนที่เจ้ามีปัญหากับตระกูลเฉิง ตอนที่ตระกูลเฉิงล้มลงยังยืนอยู่ข้างเดียวกับพี่สาวและหลานชายของเจ้า นับว่าเป็นคนดีมีคุณธรรมผู้หนึ่ง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
โจวเสาจิ่นถึงได้สลัดความคิดแย่ๆ ทิ้งไปได้จริงๆ ยิ้มสดใสขึ้นมา
เฉิงฉือโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ข้าจะให้ซางมามายกน้ำเข้ามาช่วยล้างหน้าล้างตาให้เจ้าใหม่ หลังจากที่เจ้าไปคารวะมารดาของข้าเรียบร้อยแล้วก็กลับถนนผิงเฉียวเสีย รอให้ผ่านไปสักสองสามวันข้าจะส่งเจ้าไปเมืองเป่าติ้ง”
เหตุใดท่านน้าฉือยังต้องการจะส่งนางไปเมืองเป่าติ้งอยู่อีก?
โจวเสาจิ่นยู่ปากอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ไปเมืองเป่าติ้ง ข้าต้องการจะรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูเจ้าค่ะ” กล่าวถึงตรงนี้ นางนึกถึงเรื่องที่ตัวเองทำตอนที่เฉิงฉือไม่อยู่ รู้สึกภูมิใจขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านพ่อของข้าตอบจดหมายกลับมาแล้ว บอกให้ข้ารั้งอยู่ที่เรือนเจียซู่ ต่อให้ท่านอยากส่งข้าไปก็ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!”
“อย่างนั้นหรือ” เฉิงฉือย่นคิ้วขึ้น
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านน้าฉือ ท่านจะทำแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!” นางกระโดดตัวโหยงขึ้นมา “เป็นท่านที่บอกว่าให้ข้ารั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรู ท่านพูดคำไหนไม่เป็นคำนั้น ข้าไม่สนแล้ว ข้าจะรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อ หากท่านส่งข้าไปเมืองเป่าติ้ง ข้าจะ…ข้าจะไปบอกฮูหยินผู้เฒ่า บอกว่าท่าน…ว่าท่าน…”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน