เฉิงสวี่เปลี่ยนเป็นชุดจื๋อตัวสีแดงเข้ม บริเวณเอวคาดเอาไว้ด้วยผ้าคาดผ้าไหมสีเดียวกัน จากนั้นยืนมองอยู่หน้ากระจก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ดึงปิ่นปักผมไม้เถาบนศีรษะออกเปลี่ยนเป็นปิ่นหยกแทน ถึงได้กล่าวกับฮวนสี่ยิ้มๆ ว่า “เสร็จแล้ว พวกเราไปรับท่านอาสี่กันเถิด”
ฮวนสี่ยิ้มร่าขณะขานรับคำว่า “ขอรับ” จากนั้นตรงไปเรือนหลีอินพร้อมกับเฉิงสวี่
ท่านอาสี่ไม่ค่อยพูดหรือหัวเราะ เขาจึงค่อนข้างกลัวท่านอาสี่ผู้นี้มาตั้งแต่เด็ก
การที่เขาวิ่งกลับมาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ ตอนแรกยังกังวลว่าท่านอาสี่จะอบรมเขาสักครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ท่านอาสี่เรียกเขาไปที่ห้องหนังสือแล้วจะเพียงถามถึงการเรียนของเขาอย่างละเอียดเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เขากลับมาก่อนเวลานั้นกลับไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
ไม่รู้ว่าท่านอาสี่คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือว่าพวกพ่อบ้านที่ช่วยปิดบังให้เขาเหล่านั้นล้วนรับโทษแทนไปแล้ว
เขาไม่ค่อยแน่ใจนัก
อย่างไรก็ตาม โจวเสาจิ่นมาอยู่ด้วย เนื่องจากท่านย่าที่จวนสี่ฝากฝังนางมาให้ท่านย่าช่วยเลี้ยงดู สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะต้องถูกตำหนิหรือติเตียนอย่างไรเขาล้วนยินดียอมรับทั้งสิ้น
ตอนนี้โจวชูจิ่นแต่งงานแล้ว ตระกูลเฉิงมีโจวเสาจิ่นที่เป็นคุณหนูจากบ้านอื่นเหลืออยู่เพียงผู้เดียว ด้วยสถานะของท่านย่าแล้ว จะต้องพานางไปร่วมงานเลี้ยงที่ศาลาทิงอวี่ด้วยอย่างแน่นอน
ถึงเวลานั้นเขาก็จะได้พบหน้านางแล้ว
จากนั้นเขาก็จะได้ไปอ่านตำราเตรียมสอบที่เจ่าหยวนได้อย่างสบายใจ
อย่างไรก็ตาม เขาคิดไม่ถึงว่าท่านอาสี่จะให้เขาไปอยู่ที่เจ่าหยวน มิใช่กล่าวว่าเจ่าหยวนเป็นสถานที่หวงห้ามของท่านอาสี่ ปกติแล้วคนในบ้านต่างเข้าไปไม่ได้หรอกหรือ
หรือว่าท่านอาสี่จะเป็นคนที่แข็งนอกอ่อนในผู้หนึ่ง?
เขาคาดหวังให้ตนสอบผ่านได้ยศตำแหน่งอย่างนั้นหรือ
ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน!
เมื่อมาถึงรุ่นของเขาแล้ว ทายาทชายของจวนหลักค่อนข้างอ่อนแอ
เหตุใดท่านอาสี่ถึงไม่แต่งงาน หรือว่าจะเป็นอย่างที่พวกบ่าวไพร่ที่ซอยซิ่งหลินเหล่านั้นลอบนินทากัน ที่ว่าท่านอาสี่เป็นพวกนิยมตัดแขนเสื้อ? แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านอาสี่ก็ควรจะมีสหายสนิทสักคนถึงจะถูก เหตุใดที่ผ่านมาถึงไม่เคยเห็นท่านอาสี่สนิทสนมกับผู้ใดเป็นพิเศษเลยสักคนเล่า
หรือว่าท่านอาสี่จะเลี้ยงคนผู้หนึ่งไว้ด้านนอก?
แต่จากที่ท่านอาสี่อยู่คนเดียวมาตลอดแล้ว คาดว่าแม้แต่ท่านย่าและท่านพ่อยังควบคุมท่านอาสี่ไม่ได้
ไม่ต้องกล่าวถึงอย่างอื่น แค่ข้อนี้ เฉิงสวี่ก็ชื่นชมเฉิงฉือเป็นอย่างมากแล้ว
เขาครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย ขณะก้าวเท้าเข้าประตูใหญ่ของเรือนหลีอิน
เฉิงฉือสวมชุดจื๋อตัวผ้าฝ้ายเนื้อบางเบาสีน้ำเงินไพลินเรียบง่ายตัวหนึ่ง บริเวณเอวคาดเอาไว้ด้วยผ้าคาด มีถุงหอมกับตราประทับห้อยอยู่ ทั้งดูสุขุม ติดดิน ทว่าก็ดูสูงส่งยิ่ง
เฉิงสวี่พลันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เขาน่าจะประดับเครื่องประดับสักสองสามชิ้นไว้ที่บริเวณเอวเหมือนท่านอาสี่ถึงจะถูก
เขาก้าวออกไปค้อมตัวทำความเคารพอย่างนอบน้อม แต่หลังจากที่ยืนตัวตรงแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีชีวิตชีวา กล่าวขึ้นว่า “ท่านอาสี่ ข้าอ่านตำราเตรียมสอบอยู่ที่เรือนตัวจย้าได้หรือไม่ขอรับ ที่นั่นจัดเก็บและทำความสะอาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เคลื่อนย้ายอีกก็ยุ่งยากเปล่าๆ! อีกอย่าง ข้ายังอยากไปคารวะยามเช้าและเย็นท่านย่าทุกวันด้วยขอรับ…”
เขาเป็นหลานชายคนโตของจวนหลัก เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลเฉิงในอนาคต ถึงแม้ลึกๆ แล้วจะหวาดกลัวเฉิงฉืออยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็มีด้านที่ไม่คิดมากอยู่ด้วย กล่าวคือ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นอาของตัวเอง ตอนที่ไม่ได้อยู่ในห้องหนังสือจะไม่อนุญาตให้เขาลองต่อรองเล่นๆ สักครั้งดูหน่อยเลยหรือ! ต่อให้มีอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร อย่างมากก็ถูกติเตียนครั้งหนึ่งก็เท่านั้น ท่านอาสี่คงไม่สั่งลงโทษตนด้วยเรื่องเล็กน้อยพวกนี้หรอกกระมัง
เฉิงฉือชำเลืองมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกครั้งหนึ่ง เฉิงสวี่จึงรู้ว่าเรื่องนี้ไม่เป็นผลสำเร็จ
เขาร้องโอดครวญออกมาเสียงหนึ่งอย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือเดินตัวตรงมุ่งหน้าออกไปด้านนอก
เฉิงสวี่รีบตามออกไปอย่างรีบร้อน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านอาสี่ ข้าสัญญาว่าครั้งนี้จะสอบให้ผ่าน ท่านให้ข้าพักอยู่ที่บ้านเถิดนะขอรับ ข้าไม่ได้เจอท่านย่ามาสองปีแล้ว คิดถึงท่านยิ่งนัก ท่านให้ข้าได้แสดงความกตัญญูอยู่ข้างกายท่านย่าเถิดนะขอรับ! อีกอย่าง อ่านตำราก็ต้องให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างการอ่านตำรากับการพักผ่อน ท่านคงไม่ขังข้าไว้ที่เจ่าหยวน ให้ข้าลืมตาก็คิดถึงปกิณกะความเรียง หลับตาก็คิดถึงปกิณกะความเรียงหรอกกระมัง การตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกเช่นนี้ จะสอบได้ผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างไร ท่านพ่อเองก็กล่าวว่า ก่อนการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูต้องออกไปพบปะสหายร่วมชั้นให้มากๆ ต้องไปสืบดูว่าความชอบของบรรดาผู้จัดการการสอบในปีนี้เป็นอย่างไร ต้องสั่งยาให้ถูกกับโรค…”
เฉิงฉือไม่แม้แต่จะมองเขาเลยสักนิด เดินตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ราวกับไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่อย่างไรอย่างนั้น กระทั่งเฉิงสวี่วิ่งพลางกล่าวเจื้อยแจ้วไม่หยุดมาถึงเบื้องหน้าเขา ขวางทางเขาเอาไว้ เขาถึงได้หยุดฝีเท้าลง กล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้าก็อยู่ที่เรือนตัวจย้าเหมือนเดิม จากนั้นเวลาไม่มีธุระอะไรก็ออกไปพบปะสหายร่วมชั้นของเจ้า ไปสืบหาความชอบของบรรดาผู้จัดการการสอบเหล่านั้นดูสักหน่อย จะได้สั่งยาได้ถูกกับโรค ข้าก็มีธุระต้องออกไปจัดการอยู่พอดี น่าจะกลับมาหลังเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ความหมายก็คือจะสะบัดมือไม่สนใจแล้วนั่นเอง!
บิดาเคยกล่าวเอาไว้ว่า ถึงแม้จะไม่รู้ว่าในบรรดาผู้จัดการการสอบเหล่านั้นผู้ใดเป็นหัวหน้าและผู้ใดเป็นผู้ช่วยก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือมีหนึ่งท่านเป็นผู้ที่สอบผ่านปีเดียวกันกับท่านอาสี่
มิใช่ว่าเขาไม่มีความมั่นใจว่าจะสอบผ่าน แต่ถ้าอยากสอบให้ได้เจี้ยหยวน ไม่สั่งยาให้ถูกกับโรคไม่ได้จริงๆ!
ท่านอาสี่คงไม่ได้คิดเช่นนี้จริงๆ หรอกกระมัง
หากท่านอาสี่สะบัดมือไม่สนใจเพราะตนไม่เชื่อฟังจริงๆ ล่ะก็ อันดับแรกบิดาคงรู้สึกเสียใจ…ส่วนเรื่องงานแต่งของเขากับโจวเสาจิ่นก็คงไม่ต้องพูดถึงแล้ว!
เฉิงสวี่มองใบหน้าเงียบขรึมของเฉิงฉือแล้ว ก็ตะลึงงันไปอย่างโง่งมเล็กน้อย
เฉิงฉือเอี้ยวตัวเดินผ่านเฉิงสวี่แล้วเดินตรงไปข้างหน้าต่อ
เฉิงสวี่ไม่กล้าพูดอะไรอีก เดินมุ่งหน้าไปทางศาลาทิงอวี่ตามหลังเฉิงฉือไปอย่างเชื่อฟัง ในใจเต็มไปด้วยความหดหู่
ฮวนสี่และอีกหลายคนยิ่งแล้วใหญ่ ได้แต่เดินตามหลังอยู่ห่างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ออกจากเรือนหลักแล้ว ผ่านประตูหรูอี้ไปแล้ว กระทั่งเดินอยู่บนโถงทางเดินสี่ฤดูแล้ว เฉิงสวี่ถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติ
เบื้องหน้าก็เป็นศาลาทิงอวี่แล้ว ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของท่านย่ากับโจวเสาจิ่น!

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน