โจวเสาจิ่นคิดว่าตนควรจะดีกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้มากขึ้นสักหน่อย
เฉิงฉือกับเฉิงสวี่มาถึงศาลาทิงอวี่แล้ว
เช่นเดียวกับงานเลี้ยงตระกูลในวันตรุษใหญ่ ศาลาทิงอวี่ถูกแบ่งออกเป็นสองห้อง กั้นไว้ด้วยฉากกั้นห้องไม้กฤษณาสิบสองบานพับ สตรีนั่งด้านใน บุรุษนั่งด้านนอก
พวกเขาไปถึงไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป
บรรดาเด็กหนุ่มที่ชื่อประกอบด้วยอักษรข้าง ‘เหยียน’[1] ต่างมาถึงกันแล้ว เฉิงสือยังพาเกิงเกอเอ๋อร์บุตรชายคนโตวัยห้าขวบของตนมาด้วย ท่านอาที่เป็นคนรุ่นเดียวกับเฉิงสือที่ยังไม่แต่งงานสองสามคนกำลังเล่นกับเกิงเกอเอ๋อร์อยู่ที่นั่น เหล่าผู้ใหญ่ที่ชื่อประกอบด้วยอักษรข้าง ‘สุ่ย’ ก็มาถึงแล้วเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเฉิงอี๋จากจวนรอง เฉิงหลูจากจวนสาม เฉิงเหมี่ยนจากจวนสี่ และเฉิงเวิ่นจากจวนห้า
มุมปากของเฉิงฉือกระตุกเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็น
ทุกครั้งที่ท่านผู้นำตระกูลท่านนี้ปรากฏตัวล้วนเหมือนกันทุกครั้ง ต้องรอให้ผู้อื่นมากันให้ครบก่อน ตนจึงจะมาทีหลังสุด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเป็นคนที่ตรงต่อเวลา หรือว่าลอบส่งคนมาแจ้งเป็นการเฉพาะว่า จะมาตรงเวลาสักหน่อย เพื่อแสดงสถานะพิเศษภายในตระกูลนี้ของตนกันแน่
เฉิงฉือก้าวออกไปทำความเคารพญาติผู้พี่เหล่านั้น
เฉิงอี๋กับเฉิงหลูพยักหน้ารับเล็กน้อย ต่างนั่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เฉิงเหมี่ยนแม้ว่าไม่ได้ลุกขึ้นมาเช่นเดียวกัน แต่ก็ยิ้มพลางทักทายเฉิงฉือว่า “น้องชายฉือมาแล้ว” มีแต่เฉิงเวิ่นที่เดินเข้ามาอย่างร้อนรน พลางบ่นไปด้วยว่า “ไฉนเจ้าเพิ่งมาเอาป่านนี้ ขาดเจ้าอยู่เพียงผู้เดียว! มานั่งข้างๆ ข้า เก้าอี้ข้างข้ายังว่างอยู่!” จากนั้นก็แลกเปลี่ยนคำทักทายกับเฉิงสวี่อีกว่า “เจียซ่าน เห็นได้ชัดว่าเจ้าผอมลงมากเมื่อเทียบกับตอนที่เจ้าไป คร่ำเคร่งกับการอ่านตำรามากเกินไปใช่หรือไม่ เจ้าต้องระวังสุขภาพร่างกายด้วยถึงจะถูก”
นัยน์ตาของเฉิงอี๋กับเฉิงหลูต่างมีความดูแคลนสายหนึ่งวาบผ่าน ทว่าเฉิงเหมี่ยนกลับยิ้มแย้มอย่างใจดี
เฉิงสวี่ก้าวออกมาทำความเคารพท่านอาทั้งหลาย เฉิงสือก็พาญาติผู้น้องทั้งหลายมาคารวะเฉิงฉือเช่นกัน
สายตาของเฉิงฉือตกอยู่บนร่างของเฉิงอี้ที่ตามอยู่ข้างหลังญาติผู้พี่สองสามคนด้วยใบหน้าซีดเซียว
เขาเดินกะโผลกกะเผลกเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าบาดแผลยังไม่หายดี
เฉิงฉือเบนสายตาออกจากร่างของเขาอย่างพึงพอใจ
ทว่าเฉิงอี้ที่สัมผัสถึงสายตาของเฉิงฉือกลับหดไหล่ลง ยิ่งเห็นได้ว่าไม่อยู่ในสายตาของเขา
เฉิงสือพาเกิงเกอเอ๋อร์มาเบื้องหน้าเฉิงฉือ ยิ้มพลางกล่าวกับบุตรชายคนโตอย่างอบอุ่นว่า “นี่คือท่านปู่ฉือของเจ้า รีบคารวะท่านปู่ฉือเร็ว!”
เกิงเกอเอ๋อร์กุมหมัดคำนับเฉิงฉือด้วยท่าทางเฉกเช่นผู้ใหญ่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนน่าเอ็นดูว่า “ท่านปู่ฉือ” และกล่าวว่า “หลานคารวะท่านขอรับ!”
เฉิงฉือยกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ กวักมือเรียกเกิงเกอเอ๋อร์
เกิงเกอเอ๋อร์เองก็ไม่หวั่นกลัวเหมือนกัน หัวเราะร่าพลางวิ่งไปหา
เฉิงฉือลูบศีรษะของเขา ครุ่นคิดแล้ว บอกไหวซานว่า “ประเดี๋ยวส่งหยกรูปวานรขี่อาชาชิ้นนั้นที่ข้าซื้อมาจากจิงเฉิงเมื่อหลายวันก่อนไปที่เรือนหลิวทิง”
ไหวซานขานรับอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ”
เฉิงเจิ้งตบไหล่ของเกิงเกอเอ๋อร์เบาๆ พลางกล่าวยิ้มๆ “ท่านปู่ฉือของเจ้าตกรางวัลให้เจ้า เจ้ายังไม่รีบกล่าวขอบคุณท่านปู่ฉืออีก”
เกิงเกอเอ๋อร์เบิกดวงตากลมโตสีดำตัดสีขาวแวววาวสองข้างขึ้นพลางกล่าวขอบคุณเฉิงฉือด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
เฉิงฉือรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ดูคุ้นตายิ่งนัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น ในใจจึงรู้สึกเบิกบานเหลือแสน ครุ่นคิดว่าจะตกรางวัลให้เกิงเกอเอ๋อร์เพิ่มอีกดีหรือไม่ ทว่าหางตากลับเหลือบไปเห็นเฉิงอี๋จากจวนรองและเฉิงหลูจากจวนสามโดยไม่ตั้งใจ
เฉิงอี๋มีสีหน้ากระหยิ่มเล็กน้อย ทว่าแววตาของเฉิงหลูกลับแต้มความไม่พอใจหลายส่วน
เฉิงฉืออดลอบถอนหายใจอยู่ในใจไม่ได้
ยิ่งมีการศึกษาน้อยเพียงใด วิสัยทัศน์ก็จะยิ่งถูกจำกัดเพียงนั้น
ในบรรดาบุรุษที่ชื่อประกอบด้วยอักษรข้าง ‘เหยียน’ มีเพียงเฉิงสือที่แต่งงานแล้ว ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายสองคน เฉิงสือพาบุตรชายคนโตมาที่ห้องโถงรับรอง ก็หมายความว่าต้องการโอ้อวดว่าเขามีทายาทผู้สืบทอดอยู่หลายส่วน
ทายาทผู้สืบทอดนี้ นอกจากจะบ่งชี้การสืบทอดทางสายโลหิตแล้ว ยังเป็นผู้สืบทอดมรดกและชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลอีกด้วย
ทว่าอายุของเด็กทั้งสองคนของจวนรองต่างยังเล็กอยู่ กล่าวถึงเรื่องพวกนี้ในตอนนี้ถือว่ายังเร็วเกินไปอยู่บ้าง
จิตใจของพี่ชายทั้งสองท่านล้วนคับแคบเช่นเดิม
ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะวางแผนทำร้ายเฉิงเจียซ่านกับเสาจิ่น
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ตระกูลเฉิงไม่ถูกยึดทรัพย์และฆ่าล้างยกตระกูลในอีกสิบปีให้หลัง หากหมายจะยืนอยู่ในแถวของบรรดาตระกูลเก่าแก่ที่เรืองอำนาจของเจียงหนาน เกรงว่าคงต้องตรากตรำลำบากกันบ้างแล้ว
คิดได้ดังนี้ ความคิดที่เตรียมจะตกรางวัลให้เกิงเกอเอ๋อร์เพิ่มอีกสองสามชิ้นก็อันตรธานหายไป
เฉิงอี๋เอ่ยถามถึงการเล่าเรียนของเฉิงสวี่ “ตำรา ‘อรรถาธิบายสี่ตำรา’ อ่านไปกี่รอบแล้ว ทุกวันเขียนอรรถาธิบายจื้ออี้[2] กี่บท ไม่นานมานี้ร้านเหวินเต๋อกับร้านเต๋ออีร่วมกันออกตำรา ‘รวมเล่มอรรถาธิบายจื้ออี้’ ข้าพลิกอ่านดูแล้ว มีอรรถาธิบายจื้ออี้บางบทที่เขียนได้ไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าก็ควรซื้อกลับมาสักเล่มถึงจะถูก”
เฉิงสวี่ตอบอย่างนอบน้อมว่า “คราวก่อนตอนที่เข้าเมืองหลวงก็ได้ร่ำเรียนกับท่านปู่รอง ตามคำแนะนำของท่านปู่รอง ตำรา ‘อรรถาธิบายสี่ตำรา’ นั้นข้าท่องจำไปสามรอบแล้ว ส่วน ‘อรรถาธิบายจื้ออี้’ สองวันเขียนหนึ่งบทขอรับ สำหรับ ‘รวมเล่มอรรถาธิบายจื้ออี้’ กล่าวกันว่าใต้เท้าเซินหรือเซินหมิ่นจือผู้เป็นราชเลขาและขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่เกษียณราชการไปแล้วเป็นผู้ตีพิมพ์ ท่านปู่รองได้ไหว้วานให้คนไปซื้อกลับมาแล้ว บอกว่าอยากจะอ่านดูอย่างละเอียดสักรอบ ข้าจึงยังไม่ได้เปิดดู ตอนที่กลับมาก็รีบเร่งเกินไป จึงลืมขอจากท่านปู่รองมาด้วย พอได้ยินท่านอาอี๋กล่าวเช่นนี้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปซื้อที่ร้านหนังสือกลับมาสักเล่มขอรับ”
เฉิงสือกับเฉิงเจิ้งต่างเงี่ยหูฟัง
ยามอยู่ที่เมืองหลวง แม้ว่าเฉิงสืออาศัยในซอยซิ่งหลินเหมือนกับเฉิงสวี่ แต่เฉิงสวี่นั้นเหตุเพราะมีฮูหยินหยวน ทำให้หากไม่ไปเยี่ยมเยียนบ้านตระกูลหยวนที่ซอยเอ้อร์เถียว ก็ถูกเฉิงเซ่าที่อาศัยอยู่ที่ซอยซวงอวี๋ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากซอยซิ่งหลินไม่ไกลนักเรียกไปซักถามถึงบทเรียน เวลาที่เขาอยู่กับเฉิงสวี่จึงน้อยกว่ายามที่อยู่จินหลิงเสียอีก
ระดับความก้าวหน้าของเฉิงสวี่ไปถึงไหนแล้ว เขาจึงอยากรู้ยิ่งนัก
ส่วนอารมณ์ของเฉิงเจิ้งกลับสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก
เขารู้ดีว่า หากไม่มีการพยักหน้ายินยอมจากจวนหลักและจวนรอง ต่อให้เขาเป็นผู้คงแก่เรียนที่เก่งกาจมากเพียงใดก็ไม่อาจเป็นขุนนางได้ เว้นแต่เขาจะมีความสามารถอัจฉริยะที่ฝืนสวรรค์ได้ ที่แม้แต่จวนหลักกับจวนรองก็ต้านทานเอาไว้ไม่อยู่ ทว่าดูจากตอนนี้ เขาก็เพียงเฉลียวฉลาดกว่าคนทั่วไปเล็กน้อยเท่านั้น
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน