โจวเสาจิ่นได้ยินป้าผู้เฝ้าเวรกลางคืนรายงานแล้วก็ไหล่ลู่คอตกอย่างผิดหวัง
ทว่าชุนหว่านกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าก็ว่าแล้ว! ดึกขนาดนี้แล้ว นายท่านสี่จะมาเยี่ยมคุณหนูรองได้อย่างไร หลังจากที่สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จก็คงเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในลานบ้าน แล้วมาหยุดอยู่ที่ประตูเรือนของพวกเราโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นแน่เจ้าค่ะ”
จริงหรือ
ฉับพลันอารมณ์ของโจวเสาจิ่นก็ยิ่งดิ่งลงเหว รู้สึกว่าการลุกมาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของตนช่างเป็นกระทำที่โง่งมยิ่งนัก
ทว่าชุนหว่านกลับพรูลมหายใจยาว ยิ้มพลางกล่าวว่า “ในที่สุดก็นอนหลับอย่างสบายใจได้แล้วนะเจ้าคะ”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว คิดอยู่ในใจว่า โชคดีที่ภายในห้องจุดตะเกียงเอาไว้เพียงดวงเดียว ถ้าหากตะเกียงสว่างไสวไปทั่วล่ะก็ นางคงได้แต่ต้องหารอยแยกของพื้นดินสักแห่งเพื่อมุดหนีเข้าไปเสียแล้ว
ถึงแม้ในใจจะรู้สึกว่าโชคดี แต่วันรุ่งขึ้นยามที่นางพบเฉิงฉือ ก็ยังคงอดหน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงฉือเห็นท่าทางขัดเขินของนาง นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานก็รู้สึกกระดากอายเล็กน้อย แต่เนื่องจากเขาเป็นบุรุษที่ได้เดินทางอยู่ข้างนอก ไม่นานก็เก็บอารมณ์กลับคืนสู่สภาพปกติได้ ยิ้มพลางถามนางว่า “วันนี้อากาศสดใสแล้ว ดอกไม้ในสวนน่าจะกำลังบานสะพรั่ง วันนี้พวกเจ้าไปชมดอกไม้ในสวนสักหน่อยเถอะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า กระทั่งเฉิงฉือทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวและออกไปแล้ว นางถึงได้ชวนฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปชมดอกไม้
อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดียิ่ง
เมื่อก่อนบุตรชายคนเล็กบอกว่าเขาจะไม่แต่งงาน จะไม่ปล่อยให้บุตรหลานตัวเองเดินตามรอยของตน ทว่าหลายปีมานี้นางคอยพูดหว่านล้อมเขาอยู่เนืองๆ แล้วปีนี้เขาก็เปลี่ยนใจ บอกว่าจะแต่งงานแน่นอน แต่เพื่อไม่ให้บุตรหลานของตนมารับช่วงกิจการงานของตระกูล เขาจะแต่งงานช้าสักหน่อย
หากนางพร่ำพูดอยู่ข้างหูเขาต่อไป บางทีวันหนึ่งเขาอาจจะเปลี่ยนใจอีกก็เป็นได้ รอให้ยอมแต่งงานก่อนแล้วค่อยพูดอีก…จากนั้นภายใต้ความเพียรพยามยามของนาง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจอีก ยอมให้กำเนิดบุตรสักคนก็เป็นได้…
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกว่าชีวิตของตนเริ่มเห็นแสงอาทิตย์อุทัยและเปี่ยมไปด้วยความหวังแล้ว ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
นางไม่เพียงปรารถนาจะมีชีวิตให้ดีเพื่อจะได้เห็นบุตรของบุตรชายคนเล็กถือกำเนิดออกมาเท่านั้น นางยังหมายจะช่วยบุตรชายคนเล็กเลี้ยงดูบุตรเฉกเช่นที่ช่วยบุตรชายคนโตและคนรองเช่นนั้นอีกด้วย
นึกมาถึงตรงนี้ นางรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทั้งร่าง โบกมือพลางกล่าว “วันนี้พวกเราไปรับประทานมื้อเที่ยงที่หอซื่ออี๋กัน! ให้โรงครัวของจวนชั้นนอกช่วยทำมื้อเที่ยงมาให้”
อาหารของแต่ละจวนในตระกูลเฉิงมาจากโรงครัวของจวนชั้นนอก เมื่อตระกูลเฉิงมีแขกเหรื่อมาเยี่ยมเยียนล้วนเป็นพวกเขาที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับ
ปี้อวี้และคนอื่นเปล่งเสียงร้องอย่างยินดี
เจินจูยิ่งแล้วใหญ่ เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวโปรดปรานโจวเสาจิ่น จึงกล่าวกระเซ้าเย้าแหย่ว่า “เป็นเพราะคุณหนูรองแท้ๆ พวกเราจึงได้รับอานิสงส์ไปด้วยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ หัวเราะฮ่าๆ พลางลูบศีรษะของโจวเสาจิ่น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหมือนกับท่านน้าฉือ ต่างชอบลูบศีรษะของนาง ประหนึ่งนางเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งก็ไม่ปาน!
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ อย่างขัดเขิน
ปี้อวี้และคนอื่นๆ บ้างก็นำป้ายชื่อของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปโรงครัวของจวนชั้นนอกเพื่อสั่งอาหาร บ้างก็เปิดห้องเก็บของนำถ้วยชามออกมา บ้างก็หยิบเสื่อที่เพิ่งเก็บลงหีบไปเมื่อไม่กี่วันก่อนออกมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นนั่ง บ้างก็ไปบอกให้บ่าวหญิงไปแจ้งบ่าวผู้เป็นเวรที่หอซื่ออี๋…
กระทั่งโจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวดมนต์ในห้องพระเสร็จและออกมาแล้ว ทุกคนก็มุ่งไปยังหอซื่ออี๋เป็นหมู่คณะใหญ่
ต่างจากเมื่อหลายวันก่อนที่มาที่นี่เพื่อชมงิ้วหรือร่วมงานสังสรรค์ โจวเสาจิ่นอารมณ์เบิกบาน เดินตามหลังฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เดินๆ หยุดๆ เพื่อชมทิวทัศน์ระหว่างทาง รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนงดงามถูกตาต้องใจไปหมด
คนทั้งกลุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่ศาลาริมทะเลสาบ ปลาหลี่อวี๋สีแดงฝูงหนึ่งว่ายเข้ามาหา อ้าปากพะงาบๆ เป็นฟองฟอดให้พวกนาง
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “ปลาฝูงนี้จดจำคนได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
ในอดีตตอนอาศัยอยู่ที่บ้านสวนที่ต้าซิ่งนางก็เคยเลี้ยงปลาทองหลายตัว ทุกครั้งที่นางเดินผ่าน ปลาทองหลายตัวนั้นจะแหวกว่ายมาหานาง ฝานมามาบอกว่า นั่นเป็นเพราะพวกมันจำนางได้
แต่ปลาในทะเลสาบเหล่านี้ทั้งไม่ใช่ปลาที่นางเลี้ยง จะว่ายล้อมเข้ามาหาได้อย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “เป็นไปได้ว่าตรงนี้มีคนมาให้อาหารปลาเหล่านี้อยู่บ่อยๆ ดังนั้นพอปลาเหล่านี้เห็นคนเดินมาจึงว่ายกรูกันเข้ามา”
ขณะที่นางกำลังกล่าวอยู่นั้น ก็มีบ่าวหญิงสองคนที่กำลังพูดคุยและหัวเราะกันพร้อมกับถือตะกร้าใบหนึ่งเดินมุ่งมาทางนี้
โจวเสาจิ่นรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านช่างเยี่ยมยอดยิ่งนัก แม้แต่เรื่องเช่นนี้ก็คาดเดาได้อย่างถูกต้อง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “การสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัวถือเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องร่ำเรียนจากตำราก็เรียนรู้ได้เหมือนกัน”
โจวเสาจิ่นนึกถึงความโง่เขลาของตนในชาติก่อน ดูเหม่อลอยเล็กน้อย
บ่าวหญิงสองคนนั้นมาให้อาหารปลาจริงๆ
ครั้นเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัว บ่าวหญิงสองคนก้าวมาทำความเคารพอย่างระมัดระวัง แล้วปรนนิบัติโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ให้อาหารปลาอย่างกระตือรือร้น
โจวเสาจิ่นเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวเพียงนั่งดูอยู่ข้างๆ จึงถอยออกมาอย่างเงียบๆ ล้างมือแล้วนั่งดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว
มีบ่าวหญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ แจ้งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า นายหญิงผู้เฒ่าของจวนสี่กล่าวว่า อีกประเดี๋ยวจะมาพบท่านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เชิญนางมารับประทานมื้อเที่ยงที่หอซื่ออี๋ด้วยก็แล้วกัน!”
บ่าวหญิงยิ้มรับคำแล้วออกไป
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ อย่างกระดากอายว่า “ข้าก็ไม่ได้พบท่านยายมาหลายวันแล้วเหมือนกันเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นไปได้ว่านางอาจจะมาด้วยเรื่องงานเลี้ยงตระกูลที่ศาลาทิงอวี่เมื่อสองวันก่อน”
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอธิบายยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่ได้ไปเข้าร่วม แม้แต่ข้ออ้างก็ไม่มีให้ ย่อมต้องมีคนไปหายายของเจ้า ให้นางนำความมาบอกข้า”
โจวเสาจิ่นเห็นน้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไร กังวลว่าด้วยเรื่องนี้จะทำให้เกิดความหมองใจระหว่างฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนขึ้น ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวขึ้นว่า “บางทีอาจเป็นเพราะท่านยายบอกปัดไม่ได้เจ้าค่ะ”
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน