เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 30

ตอนที่ 30 หลีกเลี่ยง
ตกบ่าย โจวเสาจิ่นไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน

ปี้อวี้และเฝ่ยชุ่ยกำลังวุ่นอยู่กับการสั่งการบ่าวรับใช้โยกย้ายโต๊ะเก้าอี้และจัดจานชาม

โจวเจาสิ่นอดไม่ได้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เอ่ยถามขึ้นว่า “มีใครจะมาที่นี่หรือ”

ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าว “กูไหน่ไนจากจวนสามกลับมาเยี่ยมบ้าน เย็นนี้จะมารับมื้อเย็นที่นี่เจ้าค่ะ”

เมื่อกี้เพิ่งจะปฏิเสธท่านยายไปอย่างจริงใจ…ที่จริงแล้วไม่ใช่เป็นเพราะไม่มีเวลา แต่เป็นการรอดูว่าเวลานี้จำเป็นต้องหาเวลาออกมาหรือไม่ต่างหาก

โชคดีที่โจวเสาจิ่นมีชีวิตมาสองภพชาติ เคยพบเห็นทั้งคนที่ดีและไม่ดี ถึงแม้จะรู้สึกอึดอัดอยู่ภายในใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับจะมองเฉิงเสียนอย่างโกรธเคือง

แต่คนเช่นนี้ ไม่ว่าจะดูเหมือนว่าเป็นคนจิตใจดีแค่ไหน ก็ไปมาหาสู่กันให้น้อยเอาไว้จะดีกว่า!

นางลอบพิจารณาอยู่ในใจ พอรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่อยู่ในห้องโถง จึงพาซือเซียงเดินไปที่ห้องพระ

คิดไม่ถึงว่าที่จริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ในห้องพระ

นางนั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ กำลังพลิกดูพระธรรมที่นางคัดลอกหน้าแล้วหน้าเล่า

“ฮูหยินผู้เฒ่า!” โจวเสาจิ่นขยับขึ้นด้านหน้าไปทำความเคารพ

“มาแล้วรึ!” นางยิ้มน้อยๆ แล้ววางกระดาษในมือลง ชี้ไปที่เก้าอี้มีเท้าแขนข้างตัวด้วยท่าทีใจดีเป็นอย่างมาก พลางกล่าว “นั่งลงเถอะ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะคัดได้เร็วขนาดนี้!”

โจวเสาจิ่นยิ้ม นั่งลงเงียบๆ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ชี้ไปที่ตัวอักษรบางตัวบนกระดาษ “เจ้าดู จุดอันนี้จะต้องตวัดกลับมาให้หนักแน่นถึงจะถูก ส่วนการลากเส้นขวาเส้นนี้ทำได้ดีมาก”

โจวเสาจิ่นน้อมรับคำสอนอย่างเชื่อฟัง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้เจินจูฝนหมึก จากนั้นเขียนอักษรสองสามตัวให้โจวเสาจิ่นดู “เจ้าดูสิว่า เขียนแบบนี้ดูสวยกว่าหรือไม่”

ตัวอักษรนั้น ราวกับม้าหุ้มเกราะสีทองปรากฏโดดเด่นอยู่กระดาษ…โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าต่อให้ตนเองเขียนอีกสามสิบปี ก็เขียนอักษรแบบนี้ออกมาไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ผู้คนต่างกล่าวกันว่าคนก็เหมือนกับตัวอักษร ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น…บุคลิกแข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดาเลย!

นางพึมพำอยู่ในใจ ทว่าก็พยักหน้าไปด้วยไม่หยุด

ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับเผยรอยยิ้มหดหู่ออกมาพลางส่ายศีรษะ กล่าวเสียงเบาว่า “บุคลิกของเจ้าและของข้าไม่เหมือนกัน…ข้านั้นชอบบังคับเคี่ยวเข็ญผู้คน” ขณะที่นางกล่าว ก็หายใจเข้าลึกๆ ลมหายใจหนึ่ง ฉับพลันก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าเพียงแค่ดูเอาไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเขียนตามแบบของข้า ข้อดีของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เจ้าเขียนตามแบบที่ตัวเองชอบก็พอแล้ว”

โจวเสาจิ่นตอบน้ำเสียงนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”

ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เป็นเช่นนี้ ดูราวกับคนที่โดดเดี่ยวยิ่งนัก

โจวเสาจิ่นรับน้ำชามาจากมือของเสี่ยวถาน แล้วส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจิบไปคำหนึ่ง ยิ้มพลางสั่งเจินจูที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่า “เจ้าไปจัดชาซีหูหลงจิ่งที่กูไหน่ไนเอามาฝากสักสองเหลี่ยง เอามาชงชาให้คุณหนูรองดื่ม”

เจินจูตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใส จากนั้นหมุนกายออกไปจากห้องพระ

โจวเสาจิ่นรีบลุกขึ้นมาจะปฏิเสธ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับยิ้มพลางกล่าว “เดี๋ยวนี้ข้าไม่ค่อยดื่มชาเขียวแล้ว พวกเจ้าที่เป็นเด็กสาวนั้นสามารถรับมันได้ดีกว่า กำลังพอดีเลย จะได้เอาไว้คลายร้อนในฤดูร้อน”

โจวเสาจิ่นทำได้เพียงกล่าวคำขอบคุณ

ปี้อวี้เข้ามา ยิ้มพลางกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินมาเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขานเสียง ‘อืม’ เสียงหนึ่งแล้วลุกขึ้นมาโดยการประคองของหมาเหน่า ครุ่นคิด จากนั้นจึงกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เย็นนี้เจ้าก็รั้งอยู่ทานมื้อเย็นอยู่ที่นี่เถอะ ข้าเตรียมมื้อเย็นไว้ต้อนรับกูไหน่ไนคนโตจากจวนสาม เด็กสองคนจากตระกูลพานก็อยู่ด้วย พวกเจ้าคนหนุ่มสาว น่าจะคุยกันถูกคอ”

เฉิงสวี่ก็อาจจะออกมาร่วมด้วย?

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “ได้พบกันแล้วตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าท่านจะรั้งพวกเขาให้อยู่ทานข้าวด้วย ข้าเลยรับปากท่านยายไปแล้วว่าจะกลับไปเร็วหน่อย เพราะพรุ่งนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดแล้ว ท่านยายมีเรื่องต้องการย้ำเตือนกับพวกข้าสักหน่อยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคิดๆ ดูแล้วก็เป็นจริงดังนั้น จึงไม่ได้บังคับอะไรอีก ยิ้มพลางเดินออกไปจากห้องพระโดยมีบ่าวรับใช้ห้อมล้อมติดตามไปด้วย

โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง สงบจิตใจลงแล้วคัดลอกพระธรรมได้สองสามหน้า ครุ่นคิดว่าที่เฉิงเสียนมาเป็นแขกนี้ ไม่แน่ว่าเฉิงสวี่ผู้นั้นอาจจะมาก่อนเวลาก็เป็นได้ นางจึงตัดสินใจว่าจะออกไปก่อน

ตอนที่ไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่ได้รั้งนางเอาไว้ ปี้อวี้เดินไปส่งนางออกจากเรือนหานปี้ซาน

โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ทว่าจากที่ไกลๆ นั้นกลับเห็นชายหนุ่มสองคนค่อยๆ เดินตรงมาทางนี้

หนึ่งในพวกเขาสวมชุดสีเขียวหยก อีกคนสวมชุดสีสีเขียวไม้ไผ่ คนหนึ่งแจ่มใสมีชีวิตชีวา อีกคนหนึ่งสงบเคร่งขรึม…คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเฉิงสวี่กับพานจ้าว

ทำไมยังไม่ทันไรสองคนนี้ก็เดินอยู่ด้วยกันแล้วหรือ

เหมือนกับว่าในชาติที่แล้วจะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเฉิงสวี่มีความสัมพันธ์อันดีกับพานจ้าวนี่นา? อย่างไรก็ตาม ในชาติก่อนนางไม่ค่อยได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเฉิงสวี่เท่าไหร่อยู่แล้ว ก็เป็นไปได้ว่าสองคนนี้อาจเป็นมิตรที่ดีต่อกันเพียงแต่ตนเองไม่รู้เท่านั้น

โจวเสาจิ่นเห็นว่าหากยังเดินหน้าต่อไปอีกทุกคนต้องได้เผชิญหน้ากันเป็นแน่ นางหันไปกระพริบตาไปซือเซียงครั้งหนึ่ง จากนั้นทั้งสองก็แอบเข้าไปหลบอยู่หลังต้นไทรที่แผ่กิ่งก้านสูงใหญ่และหนาทึบต้นหนึ่ง

เฉิงสวี่และพานจ้าวไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติ สนทนาไปด้วยและเดินตรงมาทางนี้ไปด้วย

“…ท่านอาใหญ่อี๋นั้นมีธุระทางสังคมข้างนอกมาก เรื่องภายในสำนักศึกษาจึงให้จางเซียนเซิงคอยดูแลจัดการ เขาสอบได้เป็นจวี่เหรินในรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบสี่ซินเหมา สอบปีเดียวกันกับท่านอาสี่ของข้า ตอนที่เป็นซิ่วไฉก็เรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษา เป็นผู้ที่มีความรู้แน่นมาก เจ้าไม่ลองขอคำแนะนำจากเขาให้มากหน่อย”

พานจ้าวพนักหน้าไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “เห็นว่าการสอบระดับฝู่ซื่อใกล้เข้ามา ท่านพ่ออยากให้ข้ารั้งอยู่ที่จวนเพื่ออ่านหนังสือ เป็นท่านแม่ที่กล่าวว่า อ่านหนังสือหมื่นเล่มไม่สู้ออกเดินทางพันหลี่ ในสำนักศึกษาตระกูลเฉิงนี้ไม่รู้ว่าสร้างซิ่วไฉจวี่เหรินมาแล้วตั้งมากมายเท่าไหร่ ให้ข้าติดตามมาดูให้รู้สักครั้ง น่าเสียดายที่พรุ่งนี้ต้องไปอวยพรท่านผู้นำตระกูลจวนรอง ไม่เช่นนั้นจะตามเจ้าไปฟังที่ห้องเรียนด้วยสักหน่อย ต้องได้ประโยชน์มากเป็นแน่”

ตอนที่ 30 หลีกเลี่ยง 1

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน