ทุกคนต่างรู้แน่อยู่แก่ใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอดส่ายศีรษะและถอนใจไม่ได้ พลางกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็ไปกับพวกข้าเถอะ!
ต่งซื่อยิ้มเจื่อนพลางตอบว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอกพร้อมกับพวกนาง
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกระแวดระวังอยู่ในใจ
ชาติก่อน นายท่านใหญ่เวิ่นและฮูหยินใหญ่เวิ่นของจวนห้าเป็นผู้ที่มาถึงเป็นคนสุดท้ายจริงๆ ทว่ากลับไม่ได้ยินว่าทำของอะไรหาย นอกจากนี้ ต่งซื่อกับหยางซื่อ ฮูหยินใหญ่อวี้จากจวนห้าสายรอง ก็มาถึงเรือนซื่ออี๋พร้อมกันกับฮูหยินใหญ่เวิ่น
ชีวิตนี้กลับแตกต่างออกไป!
ชาติก่อนตอนที่มีเรื่องเกิดขึ้นกับโจวเสาจิ่นนั้น ต่งซื่อผู้ที่ปฏิบัติต่อนางอย่างมีน้ำใจ เอาใจใส่อย่างกระตือรือร้นราวกับผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกันมาโดยตลอดนั้นกลับไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย ในตอนนั้นนางจึงเข้าใจความจริงข้อหนึ่งที่ว่า มารดากับบุตรชายอย่างไรก็คือมารดากับบุตรชาย ไม่ว่ายามปกติจะดูมีเมตตาและใจดีขนาดไหนก็ตาม วันหนึ่งยามที่ต้องตัดสินใจเลือก ก็ย่อมต้องเข้าข้างบุตรชายและยืนอยู่ข้างเดียวกันกับบุตรชายอย่างไม่มีข้อแม้
นับตั้งแต่ที่นางกลับมามีชีวิตอีกครั้งในชาตินี้ ก็ไม่ให้ความสนใจกับเฉิงลู่อีก
เป็นไปได้หรือไม่ว่าต่งซื่อจะมาด้วยเรื่องของบุตรชาย?
ชาติก่อน ต่งซื่อเคยพูดเป็นสัญญาณบอกใบ้ทำนองว่าครอบครัวของนางต้องการสู่ขอนางให้เฉิงลู่อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะหลังจากที่บิดาของนางได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเมืองเป่าติ้งแล้ว ความตั้งใจที่อยากจะดองกับตระกูลโจวก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ไม่เช่นนั้นท่านยายกับท่านป้าใหญ่จะเข้าใจผิดได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นลอบให้ความสนใจอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่ต่งซื่อทักทายกับท่านป้าใหญ่ไปหลายประโยคแล้ว ก็มาพูดกับนางอย่างสนิทสนมว่า “เสาจิ่น หลายวันก่อนได้ยินว่าเจ้าไม่สบาย ป้าคิดจะมาเยี่ยมเจ้า ต่อมากลับได้ยินว่าเจ้าหายดีแล้ว และกำลังช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดลอกพระธรรมอยู่…ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือ ทำไมจู่ๆ ถึงได้ไปช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานได้ ร่างกายของเจ้ารับไหวหรือไม่”
การที่ต่งซื่อปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นอย่างกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษเช่นนี้นั้นไม่ใช่แค่วันหรือสองวันนี้ เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่ากวนคิดว่าพวกเด็กๆ อายุยังน้อย บ้านใดมีบุตรสาวย่อมมีร้อยครอบครัวมาสู่ขอ หากว่าโจวเสาจิ่นสามารถได้รับความโปรดปรานจากผู้ใหญ่ก็ไม่อาจเป็นเรื่องที่ไม่ดีได้ แต่ว่าตอนนี้โจวเสาจิ่นไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่พูดช้าและหัวอ่อนอีกแล้ว ไม่เพียงไปมาหาสู่นางอยู่บ่อยๆ ยังรู้จักอยู่สนทนาเป็นเพื่อนนาง เย้าแหย่ให้นางมีความสุข กระทั่งได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย ต่อไปเมื่อถึงเวลาพูดเรื่องแต่งงานให้นาง ก็คงจะง่ายกว่าเมื่อก่อนอย่างมากเป็นแน่แล้ว
เมื่อก่อนครอบครัวของเฉิงไป่ก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ และในอนาคต…เกรงว่าจะยิ่งไม่เพียงพอให้พิจารณาได้อีก
แต่เฉิงลู่ เด็กคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว นิสัยของต่งซื่อก็เข้าท่า เด็กทั้งสองคนยังเติบโตขึ้นมาพร้อมกัน ถึงแม้ว่าการแต่งงานนั้นจะขึ้นอยู่กับการจัดการของบิดามารดาและการเจรจาผ่านพ่อสื่อแม่สื่อ แต่คนที่เป็นบิดามารดา ใครบ้างจะไม่ปรารถนาให้บุตรชายหญิงมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุข สงบและราบรื่น?
คู่แต่งงานที่ผูกใจรักกันมาตั้งแต่เด็กย่อมดีกว่าคู่ที่แต่งงานเพราะถูกคลุมถุงชน
ในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ก็ยังต้องดูความนึกคิดของเสาจิ่นเจ้าเด็กคนนี้ด้วยถึงจะถูก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนครุ่นคิดพลางหันไปมองโจวเสาจิ่น
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับแม่สามีคิดไปในทางเดียวกัน จึงหันไปมองโจวเสาจิ่นด้วยเช่นกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
โจวชูจิ่นที่ใส่ใจน้องสาวอยู่ตลอดเวลานั้นก็หันศีรษะไปมองน้องสาวด้วย
ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน
ถึงแม้จะมีชีวิตมาแล้วสองภพชาติ โจวเสาจิ่นก็ยังไม่ชินกับการต้องตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนเช่นนี้
นางรู้สึกไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ในตอนแรก แต่ไม่ช้านางก็สามารถเอาชนะความอึดอัดนี้ไปได้ ยิ้มน้อยๆ อย่างสบายๆ และเป็นธรรมชาติพลางกล่าว “ก่อนหน้านี้เป็นเพียงไข้ขวัดเท่านั้น ทานยาที่โจวเหนียงจื่อให้มาสองเทียบก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ บังเอิญว่าตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาเยี่ยมท่านยาย เห็นข้ากำลังช่วยท่านยายคัดลอกพระธรรมอยู่ ก็เลยให้ข้าช่วยนางคัดลอกพระธรรมด้วยเล่มหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเหนื่อยเลยเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นก็ดีแล้วๆ” ต่งซื่อได้ยินเช่นนั้นก็แสดงท่าทียินดีออกมา พลางกล่าว “ร่างกายยังรับไหวก็ดีแล้ว เมื่อวานข้ายังคุยกับต่งมามาว่าให้ตุ๋นรังนกมาให้เจ้าบำรุงร่างกายสักหน่อย!”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นใช้คำที่นุ่มนวลสละสลวยทว่าน้ำเสียงกลับมั่นคงตอบปฏิเสธไปว่า “ข้าอายุยังน้อยนัก ยังไม่จำเป็นต้องทานรังนกเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวน “อย่างที่ท่านยายมักจะสั่งสอนและชี้แนะอยู่เสมอว่า ยามว่างให้เดินให้มาก ก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงได้เช่นเดียวกันเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ ได้ยินแล้วก็พยักหน้าไม่หยุด พลางกล่าว “เป็นยาที่มีพิษอยู่สามส่วน สำหรับพวกเด็กๆ แล้วควรจะทานของบำรุงให้น้อย แล้วขยับร่างกายให้มากถึงจะดี”
ต่งซื่อทำหน้าเจื่อน กล่าวด้วยรอยยิ้มขัดเขินเล็กน้อยว่า “นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวได้ถูกต้องเจ้าค่ะ! เป็นป้าเช่นข้าเองที่เป็นห่วงเด็กมากเกินไป ท่านดูเสาจิ่นสิเจ้าคะ ราวกับว่าถ้าลมแรงหน่อยก็พัดให้ปลิวไปได้แล้วอย่างไรอย่างนั้น ข้าเห็นแล้วก็อดที่จะบำรุงให้เด็กคนนี้สักหน่อยไม่ได้เสียทุกครั้งไปเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้หากไม่คิดมากก็ไม่มีอะไร ถ้าคิดมากก็ไม่ใช่กล่าวหาว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนนั้นต่างก็ไม่ได้ดูแลนางให้ดีหรอกหรือ
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นต่างก็อดไม่ได้ลอบขมวดคิ้วมุ่น โจวเสาจิ่นยิ่งแล้วใหญ่ เปลี่ยนความเงียบก่อนหน้า แทรกตัวเข้ามาด้านหน้าของโจวชูจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ลักษณะโดยธรรมชาติของแต่ละคนไม่เหมือนกันเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ ท่านดูข้า ถึงแม้ว่าจะผอมบาง ทว่าโตมาขนาดนี้กลับมีน้อยครั้งมากที่จะป่วยไข้ ตรงกันข้ามกับท่านป้าใหญ่เวิ่น ที่ทานของบำรุงไม่ได้ขาด ทว่าไม่ป่วยวันนี้ก็ป่วยเมื่อวาน เห็นได้ชัดว่าสุขภาพจะดีหรือไม่ดีนั้น มีความเกี่ยวข้องกับอาหารที่กินและดื่มไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ซึ่งขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วยเจ้าค่ะ!”
หากว่าเป็นผู้อื่นกล่าวคำพูดนี้ ก็คงจะค่อนข้างเอนเอียงไปในความหมายที่ว่าต้องการเหน็บแนมฮูหยินใหญ่เวิ่น แต่นางนั้นอายุยังน้อย ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะพูดกับคนที่อ่อยวัยกว่าตนว่าผู้ใหญ่นั้นไม่ผิด และท่าทีของนางก็ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง จึงมองเพียงว่านางนั้นไม่รู้เรื่องของจวนห้า ในครั้งนี้จึงไม่มีใครคิดว่านางเหน็บแนมฮูหยินใหญ่เวิ่น
โจวเสาจิ่นไม่รอให้ต่งซื่อได้พูด ก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันข้าได้ยินมาว่า ท่านสั่งทำยาสมุนไพรบำรุงร่างกายที่โรงหมอตระกูลโจวไปสองร้อยเม็ด หมู่นี้สุขภาพดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ”
ความหมายภายใต้คำพูดนั้นก็คือ ต่งซื่อ เจ้าก็ดูใบหน้ามีเลือดฝาดสุขภาพดี ก็ต้องทานยาบำรุงด้วยเช่นกัน
สายตาของทุกคนตกไปอยู่บนร่างที่ค่อนข้างสมบูรณ์ของต่งซื่ออย่างช่วยไม่ได้
ใบหน้าของต่งซื่อแดงเรื่อขึ้น อยากจะต่อว่าโจวเสาจิ่นสักสองสามประโยค แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจไร้เดียงสา จำต้องกลืนคำพูดที่ติดอยู่ที่ปากนั้นแล้วลงไป ยิ้มแห้งไปสองทีแล้วกล่าวว่า “ยาบำรุงร่างกายนั่นข้าสั่งให้พี่ชายลู่ต่างหาก เจ้าก็ทราบ พี่ชายลู่ของเจ้าต้องลงสนามสอบเดือนหกนี้แล้ว ข้าก็แค่เป็นห่วงเขาเท่านั้น!” ขณะที่กล่าวก็ถอนหายใจยาวไปด้วย


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน