โจวเสาจิ่นจำได้ ตอนที่นางเดินทางไปเขาผู่ถัวเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะเดินทางไปถึงเจิ้นเจียง
แต่นับตั้งแต่ตอนส่งจดหมายจนถึงเดินทางกลับมานี้หลี่จิ้งใช้เวลาสั้นๆ ไปเพียงหนึ่งวันเท่านั้น เขาทำได้อย่างไรกัน
โจวเสาจิ่นอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะยกชายกระโปรงขึ้นแล้วออกไปดู
หลี่จิ้งเหวี่ยงตัวลงมาจากม้า เหงื่อท่วมศีรษะ ทั้งร่างเต็มไปด้วยฝุ่น ใบหน้าขาวเนียนละเอียดนั้นคละเคล้าไปด้วยเหงื่อกับฝุ่น ทิ้งคราบไคลสีดำเป็นสายเอาไว้
เขาโยนแส้ม้าให้บ่าวที่ติดตามมาด้วย ม้าตัวนั้นน้ำลายฟูมปากและล้มลงไปบนพื้นด้วยเสียงอันดังครั้งหนึ่ง
หลี่จิ้งไม่แม้แต่จะมองเลยสักครั้ง เขาวิ่งตรงเข้ามาด้านในอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับตะโกนถามเสียงดังไปด้วยว่า “น้องสาวเจียเป็นอย่างไรบ้างๆ”
เต็มไปด้วยความขึงขังและดุร้ายอย่างไม่ยอมแพ้ ทำห้โจวเสาจิ่นถึงกับมองอย่างตะลึงงันไปชั่วขณะ
ทางด้านของเฉิงหลูเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เดินออกมา สีหน้ามืดครึ้มประหนึ่งจะสาดสายฝนลงมาได้
เขากล่าวตำหนิเสียงดังว่า “หลี่จิ้ง ข้าให้เกียรติเจ้าด้วยเห็นว่าเจ้าเป็นหลานชายของนายหญิงผู้เฒ่า แต่เจ้ากลับมาสอดแนมเรือนหลังของข้า หน้าด้านไร้ยางอาย แล้วยังกล้ามาส่งเสียงดังโหวกเหวกอยู่ที่นี่อีก หลี่เซิง เจ้ายังจะยืนทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้นทำอะไร ยังไม่ไล่คนออกไปอีก ใครเป็นคนเฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูใหญ่ ไปลากตัวมาโบยยี่สิบที”
หลี่เซิงผู้เป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนสามนั้นเป็นคนที่ติดตามนายหญิงผู้เฒ่าหลี่มาจากบ้านเดิม เป็นพี่ชายร่วมดื่มน้ำนมเดียวกับเฉิงหลู ส่วนหลี่จิ้งก็เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลหลี่ เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยความลำบากใจ ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ก้าวออกไปขวางหลี่จิ้งเอาไว้ กระซิบกล่าวเสียงค่อยว่า “คุณชายใหญ่ คุณหนูเจียไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ เพียงถูกแมลงกัดมาเท่านั้น ยังนอนไม่ได้สติ พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยให้ยาแล้ว กล่าวว่าอีกไม่นานก็ดีขึ้นแล้วขอรับ”
หลี่จิ้งไม่กล้าบุ่มบ่ามใจร้อน จับแขนของหลี่เซิงเอาไว้พลางถามอย่างร้อนรนว่า “น้องสาวเจียถูกแมลงกัดได้อย่างไร ยาของพระอาจารย์ซื่อฮุ่ยใช้ได้ผลหรือไม่ ข้ารู้จักท่านหมอที่บรรพบุรุษเคยเป็นหมอหลวงมาก่อนผู้หนึ่ง ต้องการให้เชิญท่านหมอผู้นั้นมาช่วยดูอาการสักหน่อยหรือไม่!”
ทว่าดวงตากลับมองไปยังเฉิงหลูที่ยืนอยู่ใต้ทางเดินแทน
หลี่เซิงอ้าปากพะงาบ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
สีหน้าของเฉิงหลูอึมครึม ไม่มองหลี่จิ้งเลยแม้แต่นิดเดียว ได้แต่กล่าวตำหนิหลี่เซิงผู้นั้นว่า “ยังไม่รีบไล่ไปอีก ที่นี่คือสถานที่อะไร คนที่ไม่เกี่ยวข้องจะเข้ามาได้หรืออย่างไร”
โจวเสาจิ่นตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย
นางจำได้ว่าชาติก่อนเคยมีใครสักคนบอกนางว่า ตระกูลหลี่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในลั่วหยาง เดิมทีบิดาของหลี่จิ้งเป็นทายาทผู้สืบทอดตระกูล แต่เสียชีวิตไปตอนที่หลี่จิ้งอายุสิบแปดปี เขาต้องต่อสู้กับบรรดาอาๆ ทั้งหลายทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยถึงเจ็ดคน กระทั่งปู่เสียชีวิตไปตอนที่เขาอายุยี่สิบปี เขาถึงได้รับช่วงกิจการของตระกูลต่อและกลายเป็นผู้นำของตระกูลหลี่ในท้ายที่สุด
เป็นคนที่มีความสามารถเก่งกาจมากผู้หนึ่ง
ไม่ต้องพูดถึงเจ้าเมืองลั่วหยาง แม้แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดของเหอหนานเมื่อเห็นเขาแล้วยังต้องเห็นแก่หน้าเขาอยู่หลายส่วน ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแถบภาคกลางเป็นอย่างมาก
ท่านลุงใหญ่หลูหมิ่นเกียรติเขาเช่นนี้ เขาจะสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปหรือไม่นะ
โจวเสาจิ่นกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง
มีความอับอายสายหนึ่งพาดผ่านดวงตาของหลี่จิ้ง ทว่าไม่มีแววตำหนิเลยแม้แต่นิดเดียว ในทางตรงกันข้ามกลับกล่าวขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านอา ข้าไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น ข้าเพียงแต่เป็นห่วงน้องสาวเจียเท่านั้น ในเมื่อนางไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ ท่านอย่าได้โมโหเลย!”
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
เห็นเฉิงหลูจ้องหลี่จิ้งอย่างรังเกียจครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้ายังไม่รีบไปอีก!”
ดวงหน้าของหลี่จิ้งเผยความผิดหวังออกมาให้เห็นเล็กน้อย ค้อมตัวทำความเคารพเฉิงหลูเงียบๆ แล้วค่อยๆ หมุนกายเดินออกไปด้านนอก
โจวเสาจิ่นทนไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง กระซิบสั่งชุนหว่านเสียงเบาว่า “เจ้าให้บ่าวชายตามไป จัดที่พักให้คุณชายใหญ่หลี่ได้ล้างตาล้างตาและพักผ่อนสักที่หนึ่ง หากทางด้านนี้มีข่าวคราวอะไร ข้าจะบอกเขาเอง”
ชุนหว่านรับคำแล้วออกไป
เนื่องด้วยเรื่องของเฉิงเจีย วัดกันเฉวียนจึงไม่ต้อนรับแขกมาตั้งแต่ช่วงบ่ายของเมื่อวาน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะให้แขกพักค้างคืน
หลี่จิ้งเดินทางไปเจิ้นเจียงยังทิ้งพ่อบ้านเอาไว้ให้เฉิงเจียใช้งานผู้หนึ่ง แล้วเฉิงเจียยังป่วยอยู่เช่นนี้ หลี่จิ้งจะจากไปอย่างวางใจได้อย่างไร
แต่ถ้าเขาอยากจะพักค้างคืน คงได้แต่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่เป็นสินบนให้ผู้ดูแลแขกของทางวัดเสียแล้ว นอกจากนี้ยังรับประกันไม่ได้ว่าจะมีห้องข้างขนาดกว้างขวางให้เขาสักห้องหรือไม่
ชาติก่อนหลี่จิ้งทำเพื่อเฉิงเจียไปมากมายแล้ว ชาตินี้นางช่วยอะไรเขาได้ก็ช่วยเขาสักครั้งก็แล้วกัน
โจวเสาจิ่นกลับไปแจ้งข่าวให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจครั้งหนึ่ง ทว่าไม่ได้พูดอะไร
ถึงเวลารับประทานอาหารเช้า ก็มีเสียงดังออกมาจากห้องข้างที่จวนสามพักอยู่
โจวเสาจิ่นได้ยินเสียงโกรธจัดของเฉิงหลูดังขึ้น “…เจ้าลองเอ่ยคำพูดที่ไม่รู้จักละอายเช่นนั้นมาอีกสักประโยคดู! ข้าจะเรียกทางการมาจับหลี่จิ้งคนต่ำต้อยผู้นั้นส่งไปให้ทางการเสียเดี๋ยวนี้…” แล้วก็มีเสียงของสตรีที่น่าจะเป็นเสียงของเจียงซื่อกล่าวปลอบโยนเบาๆ ผสมปนเปกับเสียงร่ำไห้ที่แทบจะไม่ได้ยินอยู่ด้วย
นางอดไม่ได้เดินออกไป
มีเสียงแหลมของเฉิงเจียดังออกมา “…ข้าจะแต่งกับเขา! ข้าต้องการแต่งกับเขาเท่านั้น! หากท่านมีความสามารถก็ส่งข้าเข้าไปด้วยอีกคนก็แล้วกัน ข้าจะหนีไปกับเขา…ต่อให้เขาไม่ต้องการข้าข้าก็ยอม…เพราะข้าชอบเขา…”
โจวเสาจิ่นตกใจจนหน้าถอดสี
คำพูดเช่นนี้เฉิงเจียยังกล้าพูดออกมา!
นี่ถ้าหากผู้อื่นได้ยินเข้า ชื่อเสียงของเฉิงเจียคงได้จบสิ้นแล้ว
นางรีบหันไปมองรอบๆ บ่าวรับใช้หลายคนที่อยู่รับใช้ต่างหลบออกไปแล้ว นางถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง
แต่ใครจะรู้ว่าเพิ่งถอนหายใจเสร็จ ก็มีเสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังมาจากด้านหลังของนาง “น้องสาวตระกูลโจว เรื่องในวันนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก!”
ด้วยอารามตกใจ โจวเสาจิ่นเกือบจะกรีดร้องออกมาแล้ว
โชคดีที่นางกลัวว่าจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากวนตกใจ จึงฝืนควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ หมุนกายกลับไปพร้อมกับถอยออกไปหลายก้าวติดๆ กัน ถึงได้มองเห็นชัดว่าเป็นหลี่จิ้ง และหยุดฝีเท้าลงยืนอย่างมั่นคง

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน