คำพังเพยกล่าวเอาไว้ได้ดีว่า ไม่ว่ากี่พันกี่หมื่นความบุบสลาย แต่การประจบเอาใจมิเคยบุบสลาย
ยิ่งไปกว่านั้นโจวเสาจิ่นยังกล่าวออกมาได้อย่างจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “หากเป็นตอนที่ข้าอายุยังน้อยอยู่คงกล้ารับคำพูดประโยคนี้ของเจ้า เพียงแต่ว่าตอนที่นายท่านผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่นั้นมักบ่นว่าข้าชอบสร้างปัญหา ไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น ด้วยเรื่องนี้ข้ายังเคยทะเลาะกับนายท่านผู้เฒ่าครั้งใหญ่อีกด้วย ตอนนี้อายุมากแล้ว กำลังวังชาไม่ดี เวลาจะทำอะไรขึ้นมาก็มักจะหลงๆ ลืมๆ อยากจะยุ่งก็ทำไม่ไหวแล้ว และก็คร้านจะยุ่งด้วย เห็นได้ชัดว่าเรื่องต่างๆ บนโลกใบนี้ล้วนไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เรื่องที่เมื่อก่อนเคยคิดว่ายิ่งใหญ่มาก เมื่อผ่านไปสักสองสามปีแล้วหันกลับไปมอง ก็เดินผ่านมันมาแล้ว และเมื่อผ่านไปอีกหลายสิบปีแล้วหันกลับไปมอง มันก็เพียงแค่นี้เท่านั้น ฉะนั้นชีวิตนี้ควรจะทำใจให้สบายแล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจะดีกว่า”
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวมานี้มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง
ชาติก่อน นางต้องประสบกับเรื่องราวมากมาย จึงคิดแต่ว่าอยากจะตายไปเสีย
แต่ต่อมาด้วยกลัวว่าพี่สาวจะเสียใจ กลัวพี่สาวจะต้องแบกรับความอับอายและเสียชื่อ นางจึงค่อยๆ ยอมรับมัน จนผ่านมันมาได้และมีชีวิตต่อไปอีกสิบกว่าปี
นางอยู่คุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกสองสามประโยค จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เร่งให้นางรีบไปจัดการธุระของตัวเอง “…หลานเจียมีเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เวลานี้คงอยากหาคนสนิทสักคนเพื่อพูดคุยความในใจด้วยเป็นแน่ เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนนางเถิด จะได้ปลอบให้นางสงบใจลงด้วย อย่าเอาแต่วิ่งพล่านไปทั่วอย่างไม่ใช้หัวคิดเช่นนี้ ครั้งนี้ถือเป็นโชคดีของนาง แต่ชีวิตของคนเรานี้มิอาจเอาแต่พึ่งพาโชคดีได้ เจ้าเอาคำพูดของข้าประโยคนี้ไปบอกนางด้วย จะฟังหรือไม่ฟังนั้นก็ต้องแล้วแต่นางแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าช่างสมกับเป็นแบบฉบับของคนที่แข็งนอกอ่อนในจริงๆ
โจวเสาจิ่นรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใกล้ชิดกับฮูหยินผู้เฒ่ามากยิ่งขึ้น กอดแขนของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้พร้อมกับเอ่ยเสียงนุ่มว่า “อื้อ” ออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวแล้วจะรีบกลับมาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเด็ดเดี่ยวมั่นคงมาตลอดจนชิน ไม่มีบุตรสาว ถึงแม้หลานสาวทั้งสามคนจะเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของนาง เฉิงเจิงเป็นคนเคร่งขรึมจริงจัง เฉิงเซียวเป็นคนไว้เนื้อไว้ตัว ส่วนเฉิงเซิงเป็นคนน่ารักมีเสน่ห์ แต่ก็ไม่มีสักคนที่ตรงไปตรงมาทว่าก็ทำให้คนเอ็นดูรักใคร่ได้เหมือนโจวเสาจิ่น จึงอดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของนางแล้วให้สื่อมามาออกไปส่งนางที่ประตู
สื่อมามายิ้มให้โจวเสาจิ่นมากกว่ารอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของโจวเสาจิ่นถึงสองส่วน
เวลามีแขกมาที่บ้าน ต้องเป็นภรรยาผู้มีหน้าที่จัดการหน้าที่ภายในเรือนถึงจะมีคุณสมบัติพอให้นางต้องเดินออกไปส่ง คุณหนูรองเพียงออกไปดูคุณหนูเจียเท่านั้น ก็ให้นางเดินออกมาส่งแล้ว เมื่อก่อนก็เป็นคุณหนูเจิงที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ มาวันนี้คุณหนูรองก็ได้รับโอกาสเทียบเท่าคุณหนูเจิงแล้ว
นางเลิกผ้าม่านขึ้นให้โจวเสาจิ่นด้วยตัวเอง
โจวเสาจิ่นไม่ได้ใส่ใจถึงเรื่องนี้
ในใจของนางเต็มไปด้วยเรื่องของเฉิงเจีย
ควรจะเล่าแผนการของหลี่จิ้งให้เฉิงเจียฟังดีหรือไม่
หากนางทราบเรื่องแล้วจะเก็บอาการไม่อยู่จนเผยความลับออกมาหรือไม่
ถ้าหากอาการป่วยของนางยังต้องรักษาต่อไปอีก หลี่จิ้งปล่อยให้นางรักษาอาการป่วยอยู่ที่ซอยจิ่วหรู จะทำให้เสียเวลา และทำให้เฉิงเจียกับบุตรชายของเจ้าเมืองอะไรผู้นั้นหมั้นหมายกันจนสำเร็จหรือไม่
ในกรณีที่หมั้นหมายกันสำเร็จแล้ว หลี่จิ้งจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
โจวเสาจิ่นรู้สึกปวดขมับ ได้แต่คาดหวังให้เฉิงฉือรีบกลับมา
หากท่านน้าฉือกลับมา นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว!
สาวใช้ที่เฝ้าเวรยามอยู่ที่ประตูเลิกผ้าม่านขึ้นให้นางเดินเข้าไปในห้องข้างที่จวนสามพักอยู่
ห้องข้างห้องนี้มีขนาดสามห้องกั้น ห้องโถงหนึ่งห้องและห้องส่วนตัวอีกสองห้อง นายหญิงผู้เฒ่าหลี่พักอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนเฉิงเจียกับเจียงซื่อพักอยู่อีกด้านหนึ่ง เนื่องจากเป็นที่พักของสตรี เฉิงหลูจึงไปพักที่อื่น
ตอนที่โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปนั้นเฉิงหลูกับเฉิงเจียเพิ่งทะเลาะกันเสร็จ เขานั่งหน้าถมึงทึงอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนในห้องโถง ส่วนเจียงซื่อนั่งนัยน์ตาแดงก่ำอยู่ตรงข้ามเขา พอเห็นโจวเสาจิ่น เฉิงหลูฝืนตัวหันมาพยักหน้าให้นาง ส่วนเจียงซื่อเอ่ยขึ้นอย่างอึดอัดใจเล็กน้อยว่า “ขอบใจเจ้ามากที่มาเยี่ยมนาง! ลูกเจียไม่ค่อยดีนัก เพิ่งหลับไป…”
หรือความหมายอีกนัยก็คือต้องการไล่แขกนั่นเอง
โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำ
เฉิงหลูไม่ได้กล่าวอะไร
คงกลัวว่าเฉิงเจียจะเผลอพูดอะไรออกมาจนหมดประหนึ่งเทเมล็ดถั่วออกมาจากปล้องไม้ไผ่แล้วทำให้พวกเขารู้สึกเสียหน้ากระมัง
ถ้าหากเป็นยามปรกติ โจวเสาจิ่นคงหันหลังกลับออกไปแล้ว แต่เมื่อนึกถึงคำขอร้องของหลี่จิ้ง นางจึงทำหน้าหนายืนอยู่ที่เดิม เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อพี่สาวเจียหลับไปแล้ว ข้าจะไม่พบนางแล้วก็แล้วกันเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของพี่สาวเจียเป็นอย่างไรบ้าง ยังจำเป็นต้องใช้ยาของพระอาจารย์ซื่อฮุ่ยรักษาต่อไปอีกหรือไม่เจ้าคะ”
คำถามเหล่านี้ถามอย่างแฝงความนัยเอาไว้เล็กน้อย
ทำให้เฉิงหลูกับเจียงซื่อต่างคาดเดาว่าเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางมาสอบถาม
เจียงซื่อจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลูกเจียไม่เป็นอะไรแล้ว พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยเพิ่งมาดูอาการไปเมื่อครู่ สั่งยาให้อีกหนึ่งชุด บอกว่าหลังจากกินยาชุดนี้หมดก็หายดีแล้ว ท่านลุงใหญ่หลูของเจ้ากำลังเตรียมจะไปหารือกับฮูหยินผู้เฒ่าเรื่องจะเดินทางกลับซอยจิ่วหรูในวันมะรืนนี้”
เช่นนั้นก็ดี!
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ!”
แต่ใครจะรู้ว่าคำพูดของนางเพิ่งจะจบลง ก็มีเสียงของเฉิงเจียดังออกมาจากภายในห้องว่า “เสาจิ่น ข้าตื่นแล้ว! เจ้าเข้ามาคุยเป็นเพื่อนข้าเถิด” ยังกล่าวอีกว่า “ข้ากับเสาจิ่นเปรียบเสมือนพี่น้องกัน อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในจวนเดียวกัน ปิดบังได้ช่วงหนึ่งแต่ไม่อาจปิดบังไปได้ตลอดทั้งชีวิต พวกท่านทำเช่นนี้จะมีความหมายอะไร”
“เจ้า…” เจียงซื่อได้ยินแล้วก็เกือบจะกระโดดพรวดขึ้นมา ทว่าถูกเฉิงหลูจับเอาไว้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เจ้าพูดให้น้อยลงสักสองประโยคจะได้หรือไม่!”
เจียงซื่อหันศีรษะหนีไปทางอื่นอย่างขุ่นเคือง
เฉิงเจียเอนตัวนอนอยู่บนเตียงเงียบๆ สีหน้าเหลืองซีด ร่างกายดูผ่ายผอมและซีดเผือด
นางหันศีรษะมากล่าวกับโจวเสาจิ่นด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นว่า “เจ้าคงรู้สึกว่าข้าโง่เขลามากเป็นแน่ ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าข้าจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้เช่นกัน แต่เพียงข้าคิดว่าต้องแต่งกับผู้อื่น ต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ข้าก็ทนไม่ได้อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว ต่อให้ข้าต้องปีนขึ้นภูเขาดาบหรือลงทะเลเพลิงข้าก็ยอม…”
โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปหาช้าๆ นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง สั่งให้สาวใช้เด็กที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ไปขอถั่วเขียวต้มเย็นๆ มาให้นางสักถ้วย พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “…อากาศร้อนยิ่งนัก!”
ก็เพียงนำความไปแจ้งที่หน้าประตูเท่านั้น
สาวใช้เด็กไม่ได้สงสัยเป็นอื่น รับคำยิ้มๆ แล้วถอยออกไป
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “หลี่จิ้งต้องการพาเจ้าหนีไป แต่ก็กลัวว่าอาการป่วยของเจ้าจำเป็นต้องใช้ยาของซื่อฮุ่ยรักษาเท่านั้น เจ้าคิดหาวิธีเอายามาไว้ในมือให้ได้ ข้าจะไปแจ้งหลี่จิ้งให้ทราบ”
ขอบตาของเฉิงเจียพลันรื้นชื้นจนพร่ามัว จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ชีวิตนี้ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว!”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ แต่ก็ยังคงกล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “จะคุ้มค่าหรือไม่”
“คุ้มค่า!” เฉิงเจียกล่าว ใบหน้าที่เคยห่อเหี่ยวและเหลืองซีดราวกับได้ฉาบทาเคลือบด้วยแสงเปล่งปลั่งอันสุกสกาวชั้นหนึ่งก็ไม่ปาน “ถึงแม้ว่าต่อไปจะถูกเขาละทิ้งเอาไว้อย่างไม่แยแส แต่ข้าก็ได้รู้ว่าเวลานี้เขาจริงใจกับข้าจริงๆ”
โจวเสาจิ่นมีชีวิตมาสองชาติภพ แต่ไม่เคยมีความรู้สึกร้อนแรงเช่นนี้มาก่อน
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน