โจวเสาจิ่นอดรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาไม่ได้
ทว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นอะไร กอดไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้แล้วกล่าวทักทายคุณหนูทั้งสองท่านของตระกูลกัวก่อนสองสามประโยค จากนั้นถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับคุณหนูของตระกูลกู้ว่า “ฮูหยินและสะใภ้ทั้งหลายที่จวนเป็นอย่างไรกันบ้าง ได้ยินว่านายท่านผู้เฒ่าหลายคนที่บ้านต่างอยู่ที่กระท่อมข้างสุสานของตระกูล แล้วกิจการงานต่างๆ ในบ้านผู้ใดเป็นคนดูแล การสอบช่วงสารทฤดูของปีนี้มีคนเข้าร่วมหรือไม่”
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้อายุมากที่สุดในบรรดาพี่น้องที่มาวันนี้ กล่าวตอบยิ้มๆ ว่า “ขอองค์พระโพธิสัตว์อำนวยพร ทุกคนที่บ้านล้วนสบายดีเจ้าค่ะ นายท่านผู้เฒ่าทั้งหลายไม่อยู่บ้าน กิจการงานต่างๆ ในบ้านยังคงเป็นท่านอาสิบเก้าเป็นผู้จัดการดูแล ถึงแม้พวกข้าที่เป็นรุ่นเหลนเหล่านี้จะออกจากการไว้ทุกข์แล้ว แต่ผู้อาวุโสในบ้านยังคงไว้ทุกข์กันอยู่เจ้าค่ะ ช่วงเวลานี้บรรดาพี่ชายทั้งหลายเองก็ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจนัก ส่วนใหญ่คงไม่ได้เข้าร่วมการสอบของปีนี้แล้วเจ้าค่ะ”
นางพูดจาชัดเจน มีหลักการไม่รีบร้อน อีกทั้งยังอายุมากที่สุดในบรรดาคุณหนูของตระกูลกู้ ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงรู้ว่าผู้นี้คือกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ คนที่เฉิงจิงทาบทามให้ผู้นั้น
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนลอบถอนหายใจอยู่ในใจครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ ครุ่นคิดว่าอคตินั้นทำร้ายคนหนักนัก ถ้าหากว่าเด็กสาวผู้นี้กลายมาเป็นบุตรสะใภ้ของตัวเองแล้ว คงไม่อาจเอาความโกรธมาลงกับเด็กสาวผู้นี้เพราะว่ารั้งโจวเสาจิ่นเอาไว้ไม่ได้ ต้องรู้ว่าเด็กสาวผู้นี้ต่างหากที่เป็นคนมาอยู่กับบุตรชายคนเล็กของตัวเองไปทั้งชีวิต ต่อให้โจวเสาจิ่นจะดีมากเพียงใด แต่ก็เป็นบุตรสาวของผู้อื่น เป็นบุตรสะใภ้ของผู้อื่นอยู่ดี…
นางปลอบโยนตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ถึงได้ข่มความหดหู่เอาไว้ในใจได้ และมองสำรวจกูที่สิบเจ็ดอย่างละเอียด
กูที่สิบเจ็ดสวมเสื้อแขนสั้นผ้าไหมหังโจวสีขาวพระจันทร์ ด้านนอกเป็นเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพู ด้านล่างเป็นกระโปรงจีบผ้าไหมหังโจวสีขาวพระจันทร์เช่นเดียวกับเสื้อ บริเวณคอติดกระดุมผ้าทรงผีผาเอาไว้ ทำผมเป็นมวยก้นหอยคู่หนึ่ง ปักไว้ด้วยปิ่นปักผมเงินฝังไข่มุก สวมตุ้มหูเงินดอกติงเซียงเล็กๆ คู่หนึ่ง นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นอีก ถึงแม้จะดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่กระโปรงจีบนั้นสีซีดเหลืองและรอยจีบก็ยับย่นเล็กน้อย กระดุมผ้าทรงผีผาที่ล้าสมัยแล้วตรงคอเผยให้เห็นความข้นแค้นอยู่บ้าง ปิ่นปักผมเงินกับตุ้มหูเงินดอกติงเซียงเผยให้ความว่องไวปราดเปรียวของเด็กสาวออกมาให้เห็นหลายส่วน
ในส่วนของรูปร่างหน้าตา ช่างแตกต่างจากโจวเสาจิ่นไปไกลโขยิ่งนัก จึงไม่จำเป็นต้องเปรียบ
โชคดีที่มีแววตาสุกใส สีหน้าสงบ มีความมั่นใจเป็นตัวของตัวเอง มิเสียแรงที่เป็นหญิงสาวที่ได้รับการเลี้ยงดูมาจากตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่นอย่างตระกูลกู้
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเก็บสายตากลับมาเงียบๆ ในใจยังคงมีความเสียดายอยู่หลายส่วน ถอยกลับมาอยู่หลังฮูหยินผู้เฒ่ากวน คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าไปเล่นสนุกของพวกเจ้าเถิด อย่าให้เพราะมีคนแก่อย่างพวกข้าอยู่ด้วยแล้วทำให้พวกเจ้าต้องอึดอัด”
ทุกคนต่างพากันรบเร้าให้อยู่ต่ออย่างนอบน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ ยังคงออกไปจากศาลาริมน้ำ
ทุกคนจึงพูดคุยเจื้อยแจ้วขึ้นมา
ทว่ากูที่สิบเจ็ดกลับมองส่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ เดินออกไป กระทั่งเห็นพวกนางไปถึงศาลาที่ตั้งอยู่บนยอดภูเขาจำลองที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาริมน้ำแล้ว ก็ลากโจวเสาจิ่นไปข้างๆ และกระซิบถามอย่างอดไม่ได้ว่า “นายหญิงผู้เฒ่าและฮูหยินใหญ่ของจวนสี่มาได้อย่างไร ข้าเห็นสีหน้าของพวกนางดูไม่ค่อยถูกต้องนัก!”
โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ว่าคราวก่อนตอนที่ท่านยายมาหานั้นบอกว่าไม่ค่อยสบายใจนัก มีเรื่องอยากคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการส่วนตัว ต่อมาก็ส่งคนไปที่ผูโข่ว ข้าสงสัยว่าเป็นเพราะเรื่องงานแต่งของพี่ชายเก้าไม่ค่อยราบรื่น”
อย่างนั้นหรือ
แต่สายตาที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมองนางนั้นดูแปลกๆ เล็กน้อย
กูที่สิบเจ็ดหันมองไปทางศาลา
เห็นเพียงฮูหยินผู้เฒ่ากัวและนายหญิงผู้เฒ่ากวนนั่งคุยกันอยู่ตรงโต๊ะหิน มีฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับสื่อมามาและสาวใช้อีกสองสามคนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ เท่านั้น
เนื่องจากมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย เช่นนั้นคงมิใช่การพูดคุยเรื่องส่วนตัวกันกระมัง
กูที่สิบเจ็ดรู้สึกว่าตัวเองอาจจะคิดมากเกินไป จึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปเสีย
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ กลับคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของทางศาลาริมน้ำอยู่ตลอด
ตอนที่มองเห็นเรือพายกูที่สิบเจ็ดขึ้นเรือเป็นคนสุดท้ายและลงจากเรือเป็นคนแรก ตอนกินข้าวนางเป็นคนที่นั่งอยู่ใกล้ประตูที่สุด คอยสั่งการให้สาวใช้ส่งผ้าเช็ดหน้าเอยน้ำล้างมือเอยมาให้ ตอนที่พวกพี่สาวน้องสาวเล่นสนุกกันนางก็คอยมองไปรอบๆ กลัวว่าจะมีใครบางคนหายตัวไป…คอยช่วยเหลือโจวเสาจิ่น แต่ก็ไม่ขโมยบทบาทของผู้เป็นเจ้าของงาน
นี่คือสะใภ้รองที่จวนสี่ของพวกเขาต้องการ
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกระซิบกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “ยังคงเป็นท่านแม่ที่มีสายตากว้างไกล…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมองโจวเสาจิ่นที่ยิ้มแย้มดุจดอกไม้ น้ำเสียงดูผิดหวังเล็กน้อยเช่นกัน กล่าวขึ้นว่า “เรื่องราวมากมายบนโลกใบนี้ ล้วนต้องอาศัยความเหมาะสมและพอดี เมื่อพอดีกันแล้ว คนก็สบายใจ ทุกอย่างก็ราบรื่น หากไม่พอดีกัน ต่อให้เป็นทองหรือหยกชั้นดี ก็ทุกข์ใจอยู่ดี”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหันไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวขึ้นว่า “ต้องรบกวนฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวขอบคุณนายท่านใหญ่แทนข้าแล้ว” เนื่องด้วยเหตุการณ์ในวันนี้ตอนนี้จึงเหลือเพียงดูดวงชะตาเพียงอย่างเดียว ทางนี้จึงได้แต่ต้องรอแล้ว นางกล่าวขึ้นอย่างมีนัยแฝงว่า “รอให้วันใดที่มีเวลาว่างแล้ว ข้าจะให้อี้เกอเอ๋อร์ไปโขกศีรษะให้นายท่านใหญ่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าตัดสินใจแล้วหรือ นี่มิใช่เรื่องเด็กเล่นขายของ หากตัดสินใจแล้วจะไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “ตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะ! ข้าเชื่อสายตาของจิงจื๋อเอ๋อร์ คู่ครองของชูจิ่นก็เป็นเขาที่ทาบทามให้ ชูจิ่นกับหลานเขยมีชีวิตคู่ที่ดียิ่งนัก” ตอนนี้คู่ครองของเฉิงอี้ก็เป็นเฉิงจิงที่ทาบทามให้ “จะว่าไปแล้วจวนสี่ของพวกข้าล้วนเป็นหนี้จิงจื๋อเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรล้วนนึกถึงพวกข้า วันใดที่เขากลับมา นายท่านใหญ่ของพวกข้าจะต้องจัดงานเลี้ยงรับรองจิงจื๋อเอ๋อร์สักครั้งถึงจะถูก!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “เขาเป็นบุตรชายคนโตของจวนหลัก มีโอกาสที่เหมาะสมเช่นนี้ ย่อมต้องดูแลคนในตระกูลเป็นธรรมดาอยู่แล้ว!” จากนั้นก็กล่าวถึงเรื่องของเฉิงหยวนผู้เป็นนายท่านรองของจวนสี่ขึ้นมาว่า “หลังผ่านพ้นปีใหม่ก็ใกล้จะถึงการประเมินของราชสำนักแล้วกระมัง เจ้าไปบอกหยวนจื๋อเอ๋อร์สักหน่อย ให้เขาพยายามให้ผลการประเมินอยู่ในระดับบน รอให้ถึงตอนประเมินของเสนาบดีทั้งเก้าแล้ว จะได้เปลี่ยนไปอยู่ที่ที่ดีขึ้นสักหน่อย”
นี่หมายความว่า ต่อไปเฉิงจิงอาจจะให้ความช่วยเหลือเฉิงหยวนอีก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าในใจกลับเป็นกังวลถึงอีกเรื่องหนึ่ง
นางไล่สาวใช้ออกไป กระซิบกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “เรื่องแต่งงานของเสาจิ่นนั้น…เกรงว่าคงได้แต่ต้องรบกวนฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว…”
“เจ้าวางใจเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “รอให้การสอบขุนนางช่วงเดือนเก้าเสร็จสิ้นแล้ว ข้าเตรียมจะไปอยู่ที่เมืองหลวงสักช่วงหนึ่ง ถึงเวลานั้นจะเลือกตระกูลดีๆ ให้เสาจิ่นสักตระกูลด้วยตัวเอง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงได้วางใจลง
ผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีข่าวคราวการเกี่ยวดองของตระกูลเฉิงและตระกูลกู้เผยแพร่ออกมา
เฉิงอี้ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
มิใช่บอกว่าจะให้เสาจิ่นหมั้นหมายกับเขาหรอกหรือ
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ถือได้ว่าพวกเขาเป็นดังเด็กชายเด็กสาวที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก หากต้องกลายมาเป็นสามีภรรยากันก็ไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากนี้เสาจิ่นยังมีหน้าตางดงามถึงเพียงนั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนโกรธหรือโมโหล้วนดูเหมือนภาพวาดภาพหนึ่ง ดูแล้วทำให้คนรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง…ทว่าตอนนี้กลับเปลี่ยนตัวคนอย่างกะทันหัน…เช่นนั้นจะให้เสาจิ่นไปหมั้นหมายกับผู้ใด


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน