“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!” จี๋อิ๋งเหลือกตามองบน พลางกล่าว “เห็นเขาโมโหแล้วข้ายังไม่วิ่งหนี ข้าโง่หรืออย่างไร! ต้องรู้ด้วยว่า ท่านน้าฉือของเจ้าผู้นี้น้อยครั้งนักที่จะโมโหสักครั้งหนึ่ง! อย่างน้อยๆ ข้าติดตามเขามาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นเขาเดือดดาลเช่นนี้มาก่อน ปรกติเวลาเขาโมโหมักจะลอบคิดบัญชีกับผู้อื่นอย่างลับๆ ถ้าจะให้เขาแสดงออกทางสีหน้าทุกอย่างนั้น เขาบอกว่า เปลืองแรงเกินไป! ฉะนั้นข้าถึงได้วิ่งมาหลบอยู่ที่นี่!”
เมื่อก่อนเวลาจี๋อิ๋งพูดว่า ‘ท่านน้าฉือของเจ้า’ อย่างนั้นอย่างนี้ โจวเสาจิ่นเพียงรู้สึกว่าน่าภาคภูมิใจและมีความสุข แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง
นางเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน ท่านน้าฉือไม่ใช่ของข้าคนเดียวสักหน่อย!”
“เขาไม่ใช่ของเจ้าคนเดียวจริงๆ” จี๋อิ๋งกินลูกกวาดไปคำหนึ่งอย่างไม่ยี่หระ กล่าวต่อว่า “แต่เขากลับดีกับเจ้าที่สุด ข้าก็เพียงพยายามทำทุกอย่างในสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้เสมือนกับการให้ยาม้าที่ตายแล้ว…หากเจ้าปกป้องข้าไม่ได้ผู้อื่นก็ปกป้องข้าไม่ได้เหมือนกัน ข้าไม่ได้เสียหายอะไร แต่ในกรณีที่เจ้าปกป้องข้าได้เล่า มิใช่ว่าข้ามาหาถูกคนแล้วหรอกหรือ!”
โจวเสาจิ่นรู้สึกหดหู่ ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “เจ้าเป็นคนทำให้ท่านน้าฉือโมโหหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเหตุใดเจ้าต้องมาหลบอยู่ที่นี่”
“ถ้าหากข้าเป็นคนทำให้ท่านน้าฉือของเจ้าโมโห ก็ไม่รู้ว่าจะถูกเอาไปโยนทิ้งไว้ที่ซอกไหนมุมไหนแล้ว” จี๋อิ๋งกล่าวอย่างไม่พอใจ “ยังจะมานั่งดื่มชากินของว่างกับเจ้าที่นี่ได้อยู่หรือ เหตุใดเจ้าถึงไม่เชื่อว่าท่านน้าฉือของเจ้าผู้นี้มิใช่คนดีอะไร!”
นานๆ ทีกว่าโจวเสาจิ่นจะได้คุยกับนางนานๆ
แล้วก็ไม่อยากพูดเรื่องที่เวียนวนเกี่ยวกับเฉิงฉือกับจี๋อิ๋งอีก จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามจี๋อิ๋งว่าช่วงนี้นางไปที่ไหนมาบ้าง
จี๋อิ๋งยังคงมีท่าทางเกียจคร้านดังเดิม ถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “ก็วิ่งวุ่นขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่วนั่นแหละ! หากมีวันใดที่ได้อยู่นิ่งๆ เช่นเจ้าก็คงจะดี”
เช่นนั้นนางก็จะได้ฝึกวิชาดาบดีๆ หน่อย
ตอนนี้นางเหมือนกับพวกนักแสดงพเนจรพวกนั้น ออกไปข้างนอกยังต้องสวมตำแหน่งสาวใช้ของเฉิงฉือเอาไว้บนศีรษะ คิดๆ แล้วก็ให้รู้สึกรำคาญใจนัก
โจวเสาจิ่นเห็นนางไม่อยากพูดอะไรมาก ก็เลยไม่ถามเพิ่มอีก หยิบชุดสำหรับฤดูหนาวที่ปี้อวี้ทำมาให้จี๋อิ๋งดู
จี๋อิ๋งเองก็รู้ว่าปี้อวี้ใกล้จะออกเรือนแล้ว กล่าวขึ้นว่า “จั่วเสียนผู้นั้นเจ้าคงเคยเจอแล้วกระมัง เขาเป็นคนเช่นไร เจ้าเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า สู่ขอเจ้าไป ก็เท่ากับเขาได้ถือชามข้าวทองของตระกูลเฉิงด้วยแล้ว ก่อนเจอเจ้าเขาเคยข้องเกี่ยวกับสตรีอื่นหรือไม่…”
เป็นคำถามมากมายที่ถามจนปี้อวี้หน้าแดงหูแดงไปหมด
โจวเสาจิ่นอดหัวเราะไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าถึงเหมือนกับเป็นแม่ของปี้อวี้เช่นนี้”
จี๋อิ๋งกล่าว “มิใช่เพราะข้าเคยถูกเอาเปรียบมาก่อน ก็เลยกลัวผู้อื่นจะถูกหลอกด้วยหรืออย่างไร”
ปี้อวี้ไม่รู้เรื่องของจี๋อิ๋ง ทว่าโจวเสาจิ่นรู้ แต่ปี้อวี้รับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามาหลายปี อะไรที่ควรถามอะไรที่ไม่ควรถามจึงกระจ่างแจ้งแก่ใจดี นางกล่าวขอบคุณจี๋อิ๋งด้วยอาการเขินอาย กล่าวเสียงเบาว่า “บรรพบุรุษของพวกข้าทั้งสองครอบครัวล้วนเป็นบ่าวที่ติดตามฮูหยินผู้เฒ่ามาตั้งแต่ตระกูลเดิม ข้ายังมีพี่สาวคนหนึ่งที่แต่งเข้าตระกูลจั่วไปก่อนเมื่อนานมาแล้ว เขาเป็นคนที่พี่สาวของข้าเลี้ยงมาจนโต แล้วก็เป็นคนที่พี่สาวของข้าทาบทามให้…”
“ไอ้โหยว เช่นนั้นก็แสดงว่าเป็นคู่รักกันมาตั้งแต่เด็ก!” จี๋อิ๋งดูสนใจเป็นอย่างยิ่ง ยังอยากจะถามเพิ่มอีก แต่ซางมามาเข้ามาเสียก่อน
ทุกคนต่างประหลาดใจเล็กน้อย
โดยเฉพาะโจวเสาจิ่น ยังเข้าใจว่าเฉิงฉือตามหานาง
แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่ซางมามากล่าวทักมายจี๋อิ๋งอย่างยิ้มแย้มไปแล้ว จะเอ่ยกับโจวเสาจิ่นว่า “ข้ากำลังว่างๆ ไม่มีธุระอะไรพอดี ได้ยินว่าคุณหนูรองอยู่กับแม่นางปี้อวี้ ก็เลยมาร่วมสนุกด้วย อากาศร้อนเช่นนี้ ให้ข้าช่วยอาบน้ำให้เสวี่ยฉิวดีหรือไม่เจ้าคะ!”
ตั้งแต่เข้าสู่ช่วงที่ร้อนที่สุดของปีมา โจวเสาจิ่นก็อาบน้ำให้เสวี่ยฉิวทุกวัน บางครั้งซางมามาผ่านทางมายังลูบเสวี่ยฉิวเล่นด้วย เนื่องจากมิใช่บ่าวข้างกายของโจวเสาจิ่น จึงไม่เคยอาบน้ำให้เสวี่ยฉิวมาก่อน
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ข้าอาบน้ำให้เสวี่ยฉิวแล้ว” จากนั้นชี้ไปที่ตั่งกระเบื้องเคลือบทรงกลม “ทุกคนมานั่งคุยกันเถิด!”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ” ซางมามากล่าวยิ้มๆ “พวกเจ้าเด็กสาวคุยกันไปเถิด ข้าจะไปให้อาหารนกให้คุณหนูรองก็แล้วกัน”
“นกก็ให้อาหารไปเรียบร้อยแล้ว” โจวเสาจิ่นกล่าว
ซางมามาได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “หลายวันมานี้คุณหนูรองทำงานเย็บปักอยู่ที่บ้านตลอด ต้องการให้ข้าไปซื้อด้ายหรือกระดาษมาเพิ่มให้ท่านหรือไม่เจ้าคะ”
“ยังไม่ต้อง” โจวเสาจิ่นกล่าว “ของพวกนี้ในบ้านยังมีอีกมาก” ทว่าในใจกลับลอบสงสัยว่า เหตุใดซางมามาถึงมีท่าทางอยากจะช่วยทำอะไรให้นางมากขนาดนี้ด้วย
นางครุ่นคิด กล่าวขึ้นว่า “หากท่านไม่มีธุระอะไร เช่นนั้นก็ช่วยไปแจ้งที่โรงดอกไม้ให้ข้าหน่อย คืนนี้ให้พวกเขาอย่าลืมย้ายดอกซานฉาที่ข้าปลูกไว้ออกมารับลมยามค่ำคืนด้วย”
ซางมามาเดินจากไปอย่างยินดี
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “นี่พวกเจ้าเป็นอะไรกัน เวลาท่านน้าฉือโมโหน่ากลัวมากหรือ”
จี๋อิ๋งคร้านจะพูดกับนางแล้ว
ทั้งสามคนอยู่ที่เรือนพักของปี้อวี้ไปครึ่งบ่าย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรั้งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอยู่รับมื้อเย็นด้วย
เฉิงฉือจึงไม่มาร่วมด้วย ให้คนมากล่าวทักทายแทนครั้งหนึ่งเท่านั้น
โจวเสาจิ่นรู้สึกผิดหวังอย่างอดไม่ได้
นางคิดว่าจะได้เจอเฉิงฉือ จะได้รู้ว่าตอนนี้อารมณ์ของเฉิงฉือเป็นอย่างไรบ้างแล้ว!
ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านน้าฉือเป็นอย่างไรบ้าง
โจวเสาจิ่นลอบเป็นกังวลอยู่ในใจ ช่วยวางตะเกียบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวกับนางยิ้มๆ ว่า “พี่ชายเก้าของเจ้าเชิญฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้มาทำหน้าที่เป็นผู้เต็มเปี่ยมด้วยพรทุกประการของเขา ตอนนี้ฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ถึงเวลาคงไม่อาจออกมาร่วมงานได้ จึงเปลี่ยนไปเชิญสะใภ้ใหญ่จากตระกูลฝั่งมารดาของเซินซื่อผู้เป็นฮูหยินรองของตระกูลกู้แทน ความหมายของยายเจ้าก็คือ เนื่องจากช่วงก่อนได้ฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้ช่วยลงแรง เรื่องแต่งงานของพี่ชายเก้าของเจ้าถึงได้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ต่อให้ตอนนี้ฮูหยินใหญ่ของตระกูลเซินจะตอบรับแล้ว แต่ทางด้านของตระกูลกู้ก็ควรจะขอบคุณสักครั้งถึงจะถูก พูดถึงเรื่องที่เจ้าจัดงานชมดอกไม้ไปเมื่อหลายวันก่อน มีคุณหนูมาร่วมงานด้วยหลายคน ทั้งแขกและเจ้าภาพทุกคนต่างสนุกสนาน จึงอยากจะให้เจ้าเป็นเจ้าภาพอีกครั้งหนึ่ง เชิญคุณหนูของตระกูลกู้ที่ออกจากการไว้ทุกข์แล้วมาเที่ยวเล่นสักวัน ถือเป็นการตอบแทนความเอาใจใส่ของฮูหยินใหญ่กู้ก่อนหน้านี้”
ชาติก่อนโจวเสาจิ่นเองก็เคยร่วมงานเลี้ยงหลายครั้ง แต่นางเป็นเพียงต้นหญ้าเล็กๆ ในงาน ไม่อาจเรียกว่าเป็นฉากหลังด้วยซ้ำ นานวันไปก็ค่อยๆ เห็นว่าเป็นเรื่องน่าหวาดกลัว จึงไม่สนใจอีก แต่งานชมดอกไม้ที่นางจัดขึ้นครั้งนี้ จูจูและคนอื่นๆ กับนางไม่เพียงมีนิสัยเข้ากันได้ดีเท่านั้น ยังเป็นคนที่ต่างก็โอนอ่อนให้กันและกันอีกด้วย แม้แต่คุณหนูของตระกูลกัวทั้งสองคนนั้นยังเล่นสนุกอย่างเบิกบานยิ่ง ตอนเดินทางกลับยังมีอาการไม่ค่อยอยากกลับอีกด้วย นัดแนะกันว่าตอนที่จูจูแต่งงานจะตามพวกผู้ใหญ่ไปงานเลี้ยงด้วย
วันนี้มีโอกาสจัดงานเลี้ยงอีก โจวเสาจิ่นจึงตอบรับอย่างยินดี
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นแล้วก็หัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “ถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
คำพูดนี้ออกจะเกรงใจมากเกินไป นอกจากนี้จากความเข้าใจของโจวเสาจิ่นที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้ว รู้สึกว่ารอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่ากวนดูฝืนๆ เล็กน้อย
หรือจะเป็นกังวลใจว่างานแต่งของพี่ชายเก้าจะไม่ราบรื่น?
นางคาดเดา แต่ก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน