ในเวลานั้นนางช่างเหมือนกับเฉิงเจียนัก ที่ปฏิบัติกับอู๋เป่าจางอย่างไม่ระวังตนเช่นนี้เหมือนกัน
นางขยับออกไปดึงเฉิงเจียเอาไว้ กล่าวเสียงเบาว่า “ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”
เฉิงเจียสลัดอู๋เป่าเจียทิ้งไปในทันที ถามขึ้นอย่างสนใจว่า “เรื่องอะไร?”
โจวเสาจิ่นกล่าว “น้องสาวต่างมารดาของนางนั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ครั้งก่อนเกือบทำให้ข้าต้องเดือดร้อนไปแล้ว เจ้าอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า เจ้าเองก็ระวังตัวเองหน่อย อย่าโดนผู้อื่นขายและยังจะจ่ายเงินให้ผู้อื่นอีกด้วยก็แล้วกัน!”
สิ่งที่เฉิงเจียไม่อยากได้ยินที่สุดคือการที่ผู้อื่นพูดว่านางโง่
นางฉับพลันตั้งใจแน่วแน่ กระทืบเท้าพลางกล่าว “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่านางต้องการประจบประแจงข้า ข้าเพียงแค่ไม่ได้เก็บเอานางมาใส่ใจเท่านั้น เป็นบุตรสาวของเจ้าเมืองเพียงคนเดียว ก็วิ่งมาป่วนถึงตระกูลเฉิง ช่างไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นมีค่ากี่จินกี่เหลี่ยงกันแน่!”
โจวเสาจิ่นรู้ว่าตนเองได้วางหนามเอาไว้ในใจของเฉิงเจียได้แล้ว ถึงแม้ว่าอู๋เป่าจางจะดีกับเฉิงเจียอีกในภายหลัง แต่เพื่อไม่ให้นางหัวเราะเยาะแล้ว เฉิงเจียย่อมรักษาระยะห่างกับอู๋เป่าจาง
จากนั้นนางก็ไม่พูดอะไรอีก ตามเฉิงเจียไปสังสรรค์กับพวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย
เฉิงเจียวางตัวในบทบาทของพี่สาว ทันใดก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา เมื่ออู๋เป่าจางปรากฏตัวตรงหน้าเพื่อพูดคุยด้วย นางก็ทำอย่างขอไปทีไม่ได้กระตือรือร้นอีก
อู๋เป่าจางลอบขมวดคิ้วมุ่น
รอจนกระทั่งเรือนชั้นนอกกล่าวคำอวยพรเสร็จแล้ว งานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้น
ที่นั่งของฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงและคนอื่นๆ จัดเอาไว้ที่ลานเปิดโล่งด้านหลังเรือนซื่ออี๋ ส่วนที่นั่งของคนอื่นๆ จัดเอาไว้ที่ห้องข้างของเรือนซื่ออี๋
เช่นเดียวกับชาติก่อน เนื่องจากเฉิงเจียนั้นมีนิสัยใจร้อนบุ่มบ่าม ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวแทนของตระกูลเฉิง แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ทำหน้าที่เพียงผู้เดียวได้ จำต้องให้โจวชูจิ่นผู้สงบนิ่งและมั่นคงพานางไปต้อนรับและดูแลบรรดาคุณหนูที่มาเป็นแขก ส่วนโจวเสาจิ่นนั้นถูกจัดให้นั่งอยู่บนที่นั่งเดียวกับต่งซื่อมารดาของเฉิงลู่ และพานชิงถูกจัดให้นั่งอยู่ที่ลานเปิดโล่งด้านหลัง
สีหน้าของเฉิงเจียไม่ค่อยยินดีนัก แต่นางก็ไม่ใช่คนที่รู้จักลำดับความสำคัญ นางอดกลั้นความไม่ยินดีนั้นไว้แล้วคอยดูแลบรรดาคุณหนูกับโจวชูจิ่น ซึ่งในบรรดาคุณหนูเหล่านั้นมีอู๋เป่าจางอยู่ด้วย
โต๊ะที่โจวเสาจิ่นนั่งนั้นนอกจากต่งซื่อแล้วยังมีหยางซื่อมารดารของเฉิงจวี่และญาติห่างๆ อีกหลายคนของตระกูลเฉิง ทันทีที่หยางซื่อนั่งลงก็ดึงต่งซื่อไปคุยด้วย เมื่อโจวเสาจิ่นนึกถึงชาติก่อนที่ตัวเองกับต่งซื่อนั่งเคียงข้างกันแล้ว ก็ย้ายไปนั่งอยู่ที่ๆ เฉียงออกไปทางด้านหน้าของต่งซื่อโดยทันที
เสียงของหยางซื่อดังเข้ามาเป็นระยะ “…ตอนนั้นฝ่ามือหนึ่งก็ตบลงบนใบหน้าของนาง ตอนนั้นข้าตกใจแทบแย่ รีบเบามือเบาเท้าถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ…ข้าไปหาเจ้า แต่เจ้ากลับไม่อยู่ ข้าก็เลยมาคนเดียวลำพัง…เกือบจะมาไม่ทันกล่าวคำอวยพรท่านผู้นำตระกูลแล้ว…เมื่อก่อนได้ยินเพียงว่าพวกเขามีปากเสียงกัน คิดไม่ถึงว่าในครั้งนี้จะถึงขั้นลงไม้ลงมือ หากว่านายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่ายังอยู่ก็คงจะดี อย่างน้อยก็ยังมีคนเป็นเสาหลัก ตอนนี้นางจะไปพูดกับใครได้? จำต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ใจเต้นตึกๆ อยู่หลายครั้ง
นายท่านใหญ่เวิ่นลงไม้ลงมือกับฮูหยินใหญ่เวิ่นอย่างนั้นหรือ
นางนึกถึงท่าทางของฮูหยินใหญ่เวิ่นเมื่อกี้แล้ว ก็ถอนใจอย่างหดหู่ออกมาครั้งหนึ่ง
ต่งซื่อไม่อยากนั่งคุยกับผู้ที่ชอบนินทาเช่นหยางซื่อ แต่ก็ช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง ถูกหยางซื่อจับเอาไว้คามือ ไม่ง่ายเลยกว่าจะอดกลั้นอารมณ์ทนฟังนางพูดจนจบ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าโจวเสาจิ่นไม่ได้นั่งอยู่ข้างกายแล้ว กลับไปนั่งอยู่ที่ๆ เฉียงออกไปทางด้านหน้าของตนแทน
นางอดไม่ได้ขมวดคิ้วมุ่นขึ้น
จนกระทั่งงานเลี้ยงเริ่มไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นต่งซื่อก็ลุกขึ้นมา กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย เจ้าออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ”
ผู้หญิงมีเรื่องมากมายที่ไม่อาจบอกกล่าวตรงๆ กับคนอื่นได้ ใครจะรู้ได้ว่า คำว่า ‘ไม่ค่อยสบาย’ นี้หมายถึงอะไรกันแน่?
สายตาของคนอื่นๆ จึงตกไปอยู่บนร่างของต่งซื่อและโจวเสาจิ่น
นี่ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชาติที่แล้ว
โจวเสาจิ่นตัดสินใจจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำเหมือนเดิมอีก จึงยิ้มอย่างสงบนิ่งราวภูเขาแล้วลุกขึ้นมา
ต่งซื่อรอให้นางมาประคองตนเอง โจวเสาจิ่นนั้นปฏิบัติต่อนางอย่างนอบน้อมมาโดยตลอด และนางเองก็ยินดีที่จะแสดงออกว่ารักใคร่สนิทสนมกับโจวเสาจิ่นต่อหน้าทุกคน
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับยืนอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ไม่ขยับเขยื้อน
นางปรายตามองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นก็ยังยืนยิ้มน้อยๆ อยู่ตรงนั้นเช่นเดิม มีท่าทีราวกับบอกว่าข้าจะขยับตัวตามเมื่อท่านขยับตัวแล้ว
ต่งซื่อนึกถึงคำพูดของบุตรชาย คุณหนูรองมีท่าทีไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อก่อน นางขมวดคิ้วมุ่น ลุกขึ้นออกจากงานเลี้ยงไป
โจวเสาจิ่นติดตามอยู่ด้านหลัง ได้ยินคนคุยกันอยู่ด้านหลังว่า “ผู้นี้คือคุณหนูรองจากจวนสี่ผู้นั้นใช่หรือไม่ หน้าตางดงามยิ่งนัก! ดูท่าทางแล้ว มารยาทก็ดียิ่ง เพียงเสียดายที่มารดาเสียไปแล้ว”
สำหรับเรื่องแต่งงาน นี่เป็นจุดอ่อนของนางมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชีวิตนี้
ว่าแต่ชีวิตนี้ นางจะได้แต่งงานอยู่หรือ
นางคิดถึงหลินซื่อเซิ่ง ทันใดนั้นนางก็เกิดความคิดดีๆ ขึ้นมา
ถ้าหากว่ามู่อี๋เหนียงแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งตั้งแต่ก่อนที่จะมีเรื่องเกิดขึ้นกับครอบครัวของนาง พวกเขาก็จะสามารถเป็นสามีภรรยากันตลอดชีวิต และต่อให้สุดท้ายแล้วตระกูลมู่จะยังโชคร้าย หลินซื่อเซิ่งก็ยังมีตำแหน่งพอที่จะช่วยชีวิตน้องสาวทั้งสามคนที่ยังไม่ได้ออกเรือนของมู่อี๋เหนียงออกมาได้!
จู่ๆ นางก็รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมา
ตั้งใจเอาไว้ว่าอยากจะส่งคนไปสืบเรื่องของหลินซื่อเซิ่งกับตระกูลมู่


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน