ถึงแม้จะกล่าวได้ว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมตามธรรมเนียมนัก แต่ถ้าโจวเสาจิ่นเป็นสะใภ้ของตนแล้ว ก็จะเป็นเรื่องดีที่สามารถควบคุมนางได้
ด้วยเหตุนี้ต่งซื่อถึงได้กล่าวคำพูดเหล่านั้นกับโจวเสาจิ่น
ทว่าไม่คิดมาก่อนว่าโจวเสาจิ่นจะไม่รับเอาไว้
นางนั่งอยู่โถเกือกม้า [1] โกรธจนเจ็บหน้าอกไปหมด กระทั่งอารมณ์ดีขึ้นสักพักถึงสงบลงมาได้ จากนั้นนางนึกขึ้นได้ว่าโจวเสาจิ่นยังรอนางอยู่ด้านนอก จึงนั่งนับสบู่ถั่วอย่างไม่รีบร้อนอยู่ในห้องสุขา
โจวเสาจิ่นรอแล้วรอเล่า กระทั่งรู้สึกปวดขาเล็กน้อยแล้ว ต่งซื่อก็ยังไม่ออกมา
นางครุ่นคิด จากนั้นหันไปกวักมือเรียกสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกของลานเปิดโล่ง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปยกตั่งมาให้ข้าตัวหนึ่ง”
สาวใช้รีบไปยกตั่งแกะสลักทาด้วยน้ำมันเคลือบสีแดงตัวเล็กๆ มาให้นางตัวหนึ่ง
นั่งตรงนี้จะขวางทางผู้อื่นหรือไม่นะ!
โจวเสาจิ่นมองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน เห็นว่าที่ๆ นางยืนอยู่นั้นหันไปทางดงต้นกล้วยที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นพอดี ใบตองกล้วยที่กว้างและหนานั้นโน้มตัวลงมา ราวกับร่มหนึ่งคันที่กำลังกางอยู่บนหินสีฟ้าอมเขียวก้อนหนึ่ง หากว่าไม่ได้ใส่ใจมองดีๆ ย่อมไม่อาจเห็นได้ว่ามีคนนั่งอยู่ที่ใต้ต้นกล้วย
นางอดกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้
เช่นนั้นก็นั่งอยู่ที่นั่นก็แล้วกัน รอให้ต่งซื่อออกมาแล้วไม่เห็นนาง ย่อมเกิดความไม่พอใจอยู่ในใจ เมื่อถึงเวลานั้นตนค่อยยืนขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากจะใช้เป็นเหตุผลแล้วยังสามารถบ่นต่งซื่อได้ว่าทำไมถึงอยู่ในห้องสุขานานขนาดนั้น
โจวเสาจิ่นยกตั่งเล็กแล้วมุ่งไปทางดงต้นกล้วย แต่ทันใดนั้นดวงตาก็เหลือบไปเห็นแถบกระโปรงสีแดงเลือดหมูที่ปักเอาไว้ด้วยไข่มุกแพลมออกมาจากใต้ต้นกล้วยที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นนั้น
นางราวกับนกที่ตื่นกลัว ตกใจจนถอยออกมาหลายก้าว ร้องเสียงดังขึ้นว่า “ใครแอบอยู่ตรงนั้น?”
ใบตองกล้วยส่ายไปมา มีเด็กสาวที่ทำผมขึ้นเป็นมวยซ้อนกันสวยงาม ปักเอาไว้ด้วยปิ่นปักผมทองดอกโบตั๋นผีเสื้อที่แต้มเอาไว้ด้วยจุดสีเขียวมรกตดอกใหญ่ผู้หนึ่งเดินออกมา
“พานชิง” โจวเสาจิ่นตะลึงดวงตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง “ทำไมเจ้าถึงมาแอบอยู่ตรงนี้”
เช่นนั้นสิ่งที่นางกับต่งซื่อสนทนากันนั้นพานชิงคงจะได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่
ใบหน้าของพานชิงแดงระเรื่อไปทั้งหน้า รีบอธิบายอย่างร้อนรนว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ! ข้ามาที่นี่ตั้งนานแล้ว…อยากออกมาสูดอากาศสักหน่อย…คิดไม่ถึงว่าเจ้ากับท่านป้าไป่จะหยุดลงกะทันหัน…ข้าไม่ใช่คนแบบนั้น จะไม่เอาอะไรไปพูดต่อแน่นอน จริงๆ นะ!”
นางพูดติดๆ ขัดๆ กระวนกระวายจนเหงื่อไหลออกมาทั่วทั้งหน้าผาก
โจวเสาจิ่นเชื่อในคำพูดของนาง
พานชิงไม่จำเป็นต้องมาสอดส่องเรื่องของนางเช่นนี้ เพราะถ้าวันใดที่ถูกผู้อื่นจับได้ขึ้นมา ชื่อเสียงอันดีงามของนางก็จะหมดลงไปด้วย
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดถึงเรื่องที่นางกับต่งซื่อสนทนากันเมื่อครู่นี้อย่างละเอียด ดูเหมือนว่าก็ไม่มีจุดไหนที่ไม่เหมาะสม หากว่าต้องเสียหน้าก็เป็นต่งซื่อผู้นั้นต่างหากที่ต้องเสียหน้า
นางพนักหน้าอย่างพอใจ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าจะกลับไปที่ลานเปิดโล่งหรือจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก?”
การที่โจวเสาจิ่นยอมรับคำพูดของพานชิงอย่างสงบเช่นนี้ ทำให้พานชิงอดไม่ได้ตะลึงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก สักพักใหญ่กว่าจะกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะกลับไปที่ลานเปิดโล่งแล้ว…หากยังไม่กลับไป ท่านแม่คงจะส่งคนมาตามหาข้า”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้อย่างสุภาพ
ใบหน้าของพานชิงยิ่งแดงเรื่อขึ้น ก้มศีรษะเดินผ่านนางไป แล้วขึ้นไปบนเฉลียงทางเดิน
โจวเสาจิ่นกางตั่งตัวเล็กออกใต้ต้นกล้วย
แต่พานชิงที่กำลังเดินอยู่บนเฉลียงทางเดินนั้นกลับยิ่งเดินก็ยิ่งช้าลง จนในที่สุดก็หยุด แล้วหมุนตัวมองกลับไป
โจวเสาจิ่นเพิ่งจะนั่งเรียบร้อยอยู่บนตั่งตัวเล็ก สีหน้ามีความสุขและสบายใจ
พานชิงนึกถึงท่าทางสงบและสบายๆ ของนางที่ไม่สอบถามถึงเหตุและผลเมื่อครู่นี้ นึกถึงตอนที่นางพูดเกลี้ยกล่อมเฉิงเจียอย่างใจเย็น…ให้ความรู้สึกหนักแน่นมั่นคงที่พบเห็นได้น้อยในเด็กสาวทั่วไป…นึกถึงตอนที่พี่ชายเห็นนางแล้วชะงักงันจนเสียการควบคุม…นางครุ่นคิด จากนั้นก็หมุนตัวก้าวเดินอย่างรวดเร็วไปถึงข้างๆ ตัวของโจวเสาจิ่น
“เจ้าก็เชื่อข้าง่ายๆ เช่นนี้เลยอย่างนั้นหรือ” นางมองโจวเสาจิ่นด้วยแววตาแวววาว “หากว่าข้าเอาไปบอกท่านแม่ของข้าล่ะ?”
โจวเสาจิ่นกำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง จนกระทั่งตอนที่พานชิงเดินมาถึงด้านหน้าของตัวเองแล้วนางถึงได้รู้สึกตัว อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของพานชิงแล้ว นางก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ถามนางกลับไปว่า “แล้วเจ้าจะทำหรือ”
ชาติก่อน เฉิงเจียกลั่นแกล้งนางเช่นนั้น แต่นางล้วนไม่เอาไปฟ้องต่อหน้าผู้ใหญ่ มีความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีทำนองว่าเรื่องของตัวเอง ตนย่อมสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เช่นนั้นนับประสาอะไรกับเรื่องนี้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับนางเลย?
ตระกูลพานก็เป็นตระกูลผู้ดีมีชื่อเสียง มีสมาชิกมากมาย เชื่อว่านางเองก็คงได้พบเห็นเรื่องน่ารังเกียจมาแล้วไม่น้อย!
พานชิงสำลักอยู่ในลำคอครั้งหนึ่ง กว่าครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าย่อมไม่มีทางเอาไปบอกผู้ใหญ่อยู่แล้ว แต่เจ้าก็ไม่ถามอะไรเลย…ไม่กลัวว่าตัวเองจะมองคนผิดไปหรือ”
อยู่ๆ โจวเสาจิ่นก็รู้สึกว่าพานชิงช่างน่าสนใจยิ่งนัก นางยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าดูคนผิดไปหรือไม่ล่ะ”
“เจ้า…” เป็นอีกครั้งที่พานชิงรู้สึกว่า ตนเองไม่รู้จะพูดอะไรดี
“เอาล่ะๆ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เจ้าไม่ต้องกังวลถึงขนาดนั้น และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร? ถึงเจ้าจะเอาไปพูดแล้วยังไงล่ะ ผู้อื่นก็คงคิดแค่ว่าต่งซื่อนั้นมีเจตนาที่ไม่ดี ไม่จริงใจต่อผู้อื่น จะทำอะไรข้าได้?”
ที่แท้คนอื่นเขาได้คิดคำนวณเอาไว้หมดแล้ว
สีหน้าของพานชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เดิมทีโจวเสาจิ่นก็เป็นคนที่มีความคิดละเอียดอ่อนและอ่อนไหวง่ายอยู่แล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
นางอดไม่ได้รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ถอนหายใจกล่าว “คนเช่นพวกเจ้านี้ คนอื่นเชื่อเจ้า เจ้าก็คิดว่าเขามีเจตนาแอบแฝง พอคนอื่นไม่เชื่อเจ้า เจ้าก็คิดไปอีกว่าเขาดูแคลนเจ้า…ช่างยากที่จะรับมือด้วยจริงๆ!”
ใบหน้าของพานชิงพลันแดงจนเหมือนกับจะสามารถหลั่งเลือดออกมาได้ รู้สึกละอายเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้
โจวเสาจิ่นเป็นคนนิสัยอ่อนโยน ทั้งยังมีชีวิตมาแล้วสองภพชาติ ถึงแม้ว่าอายุในชีวิตนี้ถือว่ายังน้อย ทว่าในใจกลับรู้สึกว่าตนเองนั้นอายุมากกว่าเฉิงเจียและพานชิง ฉะนั้นจะทำให้พวกนางที่ยังเป็นเพียงเด็กสาวเหล่านี้รู้สึกอับอายไปทำไมกัน
นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ทำไมเจ้าถึงออกมาคนเดียว สาวใช้ข้างกายของเจ้าล่ะ?”
น้ำเสียงของโจวเสาจิ่นอ่อนโยน ฟังแล้วดูจริงใจยิ่งนัก


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน