เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 35

ตอนที่ 35 ช่วยเหลือ

เฉิงสวี่กลับรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “ท่านย่า ข้าไม่ได้จะทำเสียงดังโหวกเหวก ข้ามาหาน้องสาวรองตระกูลโจวเพราะมีเรื่องจริงๆ ขอรับ!”

เขามีรูปร่างสูงหน้าตาหล่อเหลา พร้อมทั้งใบหน้าที่ดูเอื้ออารี ฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงเห็นแล้วก็อดไม่ได้ยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “เจ้าก็ไม่น่าจะลงไม้กับเด็กโดยที่ยังไม่ได้สอบถามว่าอะไรถูกอะไรผิด น่าจะฟังดูหน่อยว่าเด็กจะพูดว่าอย่างไรก่อนดีหรือไม่”

ลูกหลานบ้านใคร ก็เป็นคนนั้นที่เจ็บปวด

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชื่อว่าที่เฉิงสวี่ทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไร การที่เขาทำเช่นนี้ก็ค่อนข้างจะมุทะลุไปหน่อย หากต้องถูกผู้อื่นครหา ไม่สู้ถูกผู้ใหญ่ในบ้านของตนตำหนิครั้งหนึ่งยังจะดีเสียกว่า เปลี่ยนเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ส่วนคนที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่พึงพอใจต่อการกระทำของเฉิงสวี่เหล่านั้นก็จะได้ไม่อาจพูดอะไรได้อีก

นี่คือเหตุผลที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะคอกเสียงดังใส่เฉิงสวี่ต่อหน้าสาธารณะชนทุกคน กล่าวคือ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำเพื่อปกป้องเฉิงสวี่นั่นเอง แต่ถึงแม้ว่าไม่ได้พูดแทนเฉิงสวี่ด้วยคำพูดดีๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ย่อมต้องคิดวิธีเพื่อหาโอกาสให้เฉิงสวี่ได้อธิบายการกระทำของเขาอยู่แล้ว

ย่อมไม่อาจปล่อยให้เฉิงสวี่กระทำตัวเหลาะแหละให้เป็นภาพจำของแขกเหรื่อได้หรอกกระมัง?

ตอนนี้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงเต็มใจช่วยพูดให้เฉิงสวี่ มีเหตุผลอะไรที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่รับเอาไว้กัน?

แต่นางไม่ใช่หญิงสาวหรือเด็กที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน ถึงแม้ว่าจะรู้สึกยินดีอยู่ภายในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับไม่แสดงออกมาแม้แต่นิดเดียว กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงขอแทนเจ้าเอาไว้ ข้าเห็นแก่หน้าของฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ลงโทษเจ้า ว่าแต่เจ้าต้องการให้น้องสาวรองตระกูลโจวช่วยอะไรอย่างนั้นหรือ”

เฉิงสวี่กล่าวขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนว่า “พวกข้าหลายคนเล่นเดิมพันกันขอรับ ปรากฏว่าทำตราประทับกวางหมอบของพี่ชายตระกูลกู้ตกเข้าไปในแจกันหรู่เหยา[1]และเอาออกมาไม่ได้ หาบ่าวรับใช้หญิงชายที่ยังเป็นเด็กมาหลายคนแล้ว ก็ยังไม่สามารถเอาออกมาได้ จึงนึกถึงน้องสาวรองตระกูลโจวขอรับ”

ขณะที่เขาพูด ก็เหลือบมองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก รู้สึกว่าเฉิงสวี่ไม่ได้พูดความจริง

สาเหตุที่ตราประทับกวางหมอบของพี่ชายตระกูลกู้ผู้นั้นตกลงไปในแจกันนั้น ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเฉิงสวี่เป็นแน่

แต่เพราะไม่มีหลักฐาน นางจึงไม่สามารถพูดอะไรออกมาเพื่อพิสูจน์ความจริงได้

สายตาของทุกคนตกมาอยู่ที่ร่างของโจวเสาจิ่นอีกครั้ง ฮูหยินหลายท่านที่นั่งอยู่ข้างๆ ม่านไข่มุกนั้นต่างหัวเราะขึ้นมา ในบรรดาเหล่านั้นมีฮูหยินสาวสะพรั่งท่านหนึ่งที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดปักลายผีเสื้อตอมดอกไม้กล่าวขึ้นว่า “โชคดีที่เจ้าคิดได้! สาวน้อยผู้นี้ขาวลออราวหิมะ และบอบบางราวต้นหลิว ถือเป็นตัวช่วยที่ดีผู้หนึ่งจริงๆ”

ทุกคนได้ยินแล้วก็หันไปมองที่ข้อมือของโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นหน้าแดงหลบอยู่ด้านหลังของโจวชูจิ่นและซ่อนข้อมือเอาไว้ในแขนเสื้อ

ทว่าฮูหยินชราหลายท่านกลับมีความกังวลอย่างอื่น เช่นฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงที่เมื่อได้ยินแล้วสีหน้าดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามเฉิงสวี่ว่า “ตราประทับกวางหมอบ คืออันที่องค์ฮ่องเต้ไท่จงพระราชทานให้กู้เซียนเซิงจากพระราชวังจินหลวนในปีนั้นใช่หรือไม่”

เฉิงสวี่ก้มศีรษะลงด้วยความละอาย ขานตอบเสียงเบาว่า “ใช่ขอรับ”

“เจ้าเด็กพวกนี้ ทำไมถึงได้กล้านัก!” ฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงร้อนรนจนกระทืบเท้าไม่หยุด “นั่นเป็นของพระราชทาน เป็นหนึ่งในมรดกที่ตกทอดกันมาของตระกูลกู้ พวกเจ้าใช้มันเป็นเครื่องเดิมพันได้อย่างไร”

คนที่รู้จักตราประทับกวางหมอบพระราชทานชิ้นนั้นต่างพยักหน้าตามกัน ส่วนคนที่ไม่รู้จักตราประทับกวางหมอบพระราชทานชิ้นนั้นดูมึนงงเล็กน้อย

คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฮูหยินสาวที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดปักลายผีเสื้อตอมดอกไม้นั้นคือฮูหยินสาวท่านหนึ่งที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับนาง สวมชุดเพ่ยจื่อสีน้ำเงินไพลินปักลายภูเขาและลำธาร นางมีผิวขาว ดวงตาโต มารยาทอ่อนหวาน เมื่อเห็นว่ามีคนที่ยังไม่เข้าใจ นางจึงอธิบายเสียงอ่อนโยนว่า “ในปีนั้นที่ทั้งแผ่นดินเพิ่งเริ่มจัดตั้งนั้น องค์ฮ่องเต้ไท่จงได้คัดเลือกผู้มีความสามารถ ทางเจียงหนานเสนอกู้เซียนเซิงเข้าไปที่พระราชวังตะวันออกขององค์ชาย ไปสอน ‘กวีนิพนธ์แห่งขงจื่อ’ ให้กับองค์ไท่จื่อ เหลียงกั๋วกงไปเยี่ยมที่กระท่อมถึงสามครั้งแต่ก็ไม่สามารถเข้าพบได้ องค์ฮ่องเต้ไท่จงไม่มีทางเลือก สั่งราชโองการลงมาเป็นพิเศษให้กู้เซียนเซิงเข้าเมืองหลวง กู้เซียนเซิงในชุดขาวทั้งตัวให้คำตอบกับองค์ฮ่องเต้ที่พระราชวังจินหลวน ตั้งแต่ราชวงค์ปัจจุบันก่อตั้งเป็นต้นมา จนถึงตอนนี้ยังนับว่าเป็นคนแรก ตราประทับกวางหมอบชิ้นนั้น แท่นฝนหมึกสิงสาราสัตว์จากตวนซี และจานล้างพู่กันลายภูเขาและลำธาร ทั้งสามสิ่งนี้ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่องค์ฮ่องเต้ไท่จื่อพระราชทานให้ในเวลานั้น”

ทันใดนั้นราวกับมีผึ้งหลายพันตัวบินอยู่ภายในห้อง เสียงหึ่งดังระงมไม่รู้จบ

หยินสาวที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีน้ำเงินไพลินปักลายภูเขาและลำธารท่านนั้นเพิกเฉยต่อสิ่งนี้ ยิ้มพลางเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “แจกันหรู่เหยา เกรงว่าจะเป็น ‘คนงามใต้จันทรา’ ใบนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองไปที่เฉิงสวี่

เฉิงสวี่พยักหน้าเบาๆ พึมพำกล่าวว่า “หากว่าไม่ใช่คนงานใต้จันทราใบนั้น ข้าก็คงจะทุบไปตั้งนานแล้วขอรับ”

มีบางคนถามขึ้น “ฮูหยินเกา ของชิ้นนี้ก็มีประวัติความเป็นมาอะไรด้วยหรือไม่”

ที่แท้ฮูหยินสาวผู้นี้คือฮูหยินของเกาเย่าเจ้าเมืองเมืองเจิ้นเจียงนั่นเอง

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้มองสำรวจไปที่ฮูหยินเกาครั้งหนึ่ง

เห็นฮูหยินเกาผู้นั้นเพียงยิ้มพลางกล่าว “แจกันใบนี้ไม่ได้มีประวัติความเป็นมาอะไร เพียงมีชื่อเรียกเช่นนี้เท่านั้น ข้าได้ยินแล้วก็ชอบยิ่งนัก ดังนั้นจึงจำได้ฝังใจ”

บางคนยิ้มน้อยๆ บางคนกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”

โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกว่าแจกันใบนั้นไม่น่าจะธรรมดาเหมือนอย่างที่ฮูหยินเกาได้กล่าวเอาไว้ ไม่เช่นนั้นฮูหยินเกาผู้นั้นจะรู้จักชื่อของแจกันใบนี้ได้อย่างไร

นางลอบเกิดความรู้สึกไม่ดี

ตราประทับกวางหมอบชิ้นนั้นก็มีค่ายิ่งนักไม่อาจหาอะไรมาเปรียบได้ ส่วนแจกันใบนี้ก็มีประวัติไม่ธรรมดาไม่อาจไห้แตกได้…ไม่ว่าจะมองอย่างไร นางทำได้เพียงต้องไปกับเฉิงสวี่สักครั้งเท่านั้น!

แต่หากนางยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้ จะต่างอะไรกับชาติที่แล้วกัน?

สมองของโจวเสาจิ่นขบคิดไปมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นไม่นานนางก็คิดแผนได้แผนหนึ่ง

“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ!” นางหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ยิ้มพลางเดินออกไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัว เอ่ยขึ้น “เนื่องจากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเชิญพี่ชายสวี่นำแจกันชิ้นนั้นมาที่นี่ดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะได้ลองดูเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชะงักไปเล็กน้อย ท่าทีของฮูหยินเกาและคนอื่นๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นยุ่งยากขึ้นมาเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักอยู่ครู่หนึ่ง รู้ตัวว่าตนได้พูดอะไรผิดไปแล้ว ทว่ายังไม่ทันได้คิดว่าตนนั้นผิดพลาดตรงจุดไหน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็กล่าวขึ้นก่อนว่า “งิ้วก็ใกล้จะเริ่มทำการแสดงแล้ว ที่นี่คงจะวุ่นวายน่าดู เจ้าไปกับพี่ชายสวี่ของเจ้าดูหน่อยเถอะ” ขณะที่พูด นางก็สั่งเฝ่ยชุ่ยที่อยู่ข้างกายว่า “เจ้าไปเป็นเพื่อนคุณหนูรอง หากว่าเอาตราประทับกวางหมอบชิ้นนั้นออกมาไม่ได้จริงๆ ก็ทุบแจกันชิ้นนั้นเสียก็แล้วกัน”

เฉิงสวี่ตะลึงงัน ร้องเสียงดังว่า “ท่านย่า”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหันไปโบกมือให้เขา กล่าวว่า “เรื่องเกิดที่ตระกูลเฉิง ตระกูลเฉิงก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว ไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ”

“ฮูหยินผู้เฒ่ายุติธรรมยิ่งนัก!” มีเสียงหึ่งดังระงมขึ้นในห้องอีกครั้ง

โจวเสาจิ่นกลับเห็นฮูหยินเการาวกับปรารถนาจะเอ่ยคำแล้วก็หยุดไป แสดงอาการปวดใจที่ไม่อาจทานทนได้ออกมา

ตอนที่ 35 ช่วยเหลือ 1

ตอนที่ 35 ช่วยเหลือ 2

ตอนที่ 35 ช่วยเหลือ 3

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน