เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 338

เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพยักหน้า

โจวเสาจิ่นลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง เห็นเฉิงฉือไม่คิดจะรั้งให้นางอยู่ต่อ จึงรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก ทว่ายังคงกล่าวขอตัวลาเฉิงฉือด้วยรอยยิ้ม

เฉิงฉือลอบถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง

เด็กผู้นี้ ช่างมีดวงตาที่พูดได้จริงๆ

กระจ่างสุกใส ไม่ว่าจะกี่หมื่นกี่พันคำพูดก็ราวกับล้วนรวมอยู่ในนั้น

เขาลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เดินไปเปิดหน้าต่าง

ภายใต้แสงจันทร์สว่างสุกใส เงาร่างของโจวเสาจิ่นที่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีขาวพระจันทร์นั้นผอมเพรียวบอบบาง ดูอ่อนโยนและงดงามประหนึ่งกิ่งหลิวยามล้อเล่นกับสายลม

เฉิงฉือก้มหน้าลง สีหน้าคลุมเครือไม่ชัดเจน

***

โจวเสาจิ่นมุ่ยปากมาตลอดทั้งทางจนถึงเรือนฝูชุ่ย

วันต่อมา ต่งซื่อป่วยหนัก ข่าวคราวที่เฉิงลู่ขายสมบัติของครอบครัวในราคาถูกจึงแพร่ออกไปทั่วซอยจิ่วหรู

อู๋เป่าจางได้ยินแล้วสีหน้าซีดเผือด จับหวีเอาไว้พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้เดินออกมาจากห้องชั้นในอย่างยิ้มแย้ม กล่าวยิ้มๆ กับเฉิงนั่วที่กำลังนอนเอกเขนกอ่านบันทึกการเดินทางอยู่บนตั่งหลัวฮั่นโดยมีสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ว่า “วันนี้คุณชายใหญ่ไม่ออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ ข้าเห็นดอกชิวไห่ถังที่สวนหลังบ้านกำลังบานพอดี ไม่สู้ให้บ่าวในครัวทำกับแกล้มมาสักสองสามอย่าง ข้าร่ำสุราเป็นเพื่อนคุณชายใหญ่สักสองสามจอกดีหรือไม่”

เฉิงนั่วตกใจจนเกือบจะตกลงมาจากตั่ง

เขามองสำรวจอู๋เป่าจางอย่างละเอียด เห็นอู๋เป่าจางพูดอย่างยิ้มแย้มและจริงใจ ดูน่ารักอ่อนหวาน แล้วก็อดเบิกดวงตาโพลงอย่างช่วยไม่ได้

นี่พระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วจริงๆ

นับตั้งแต่เขากับอู๋เป่าจางแต่งงานกันมา อู๋เป่าจางไม่เพียงปฏิบัติกับเขาอย่างเย็นชาเท่านั้น จากคำกล่าวตักเตือนแรกเริ่มจนถึงศีลธรรมจรรยาในปัจจุบัน ล้วนไม่มีส่วนไหนของเขาที่เข้าตานางเลยสักอย่าง ทำให้เขาหงุดหงิดจนไม่รู้จะหงุดหงิดอย่างไรแล้ว แต่เมื่อคิดได้ว่าทั้งสองคนเพิ่งจะแต่งงานกัน อีกทั้งบิดามารดายังทะเลาะกันทุกสามวันห้าวันจนกลายเป็นเรื่องตลกของซอยจิ่วหรูไปแล้ว เขาจึงได้แต่เก็บความรู้สึกไม่พอใจที่มีไม่น้อยนี้เอาไว้ในใจ

แต่วันนี้อู๋เป่าจางเป็นอะไรไป?

จู่ๆ ก็อ่อนโยนกับเขาประหนึ่งน้ำขึ้นมา

เฉิงนั่วยังคงจำคำที่ท่านย่าเคยบอกเขาว่า ‘คนที่มาเสนอตัวอย่างกระตือรือร้นโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ หากมิใช่ผู้สอดแนมก็เป็นโจรผู้ร้าย’ ประโยคนั้นได้ดี

หรือว่าอู๋เป่าจางทำผิดอะไรมาแล้วต้องการให้เขาช่วยออกหน้าแก้ปัญหาให้?

เขาเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “นี่เจ้าเป็นอะไร เมื่อวานยังต่อว่าข้าว่าเอาแต่นอนอ่านบันทึกการเดินทางอยู่บนตั่งทั้งวัน เทียบไม่ได้แม้แต่กับเด็กที่เพิ่งเข้าเรียนด้วยซ้ำอยู่เลย…”

อู๋เป่าจางหน้าแดง กล่าวขึ้นว่า “นั่นมิใช่เพราะข้าโกรธที่ท่านไม่ตั้งใจฝึกฝนเขียนความเรียงหรอกหรือ หลังจากที่ท่านแม่ต่อว่าข้าไปคำรบหนึ่ง หลายวันมานี้ข้าได้ตริตรองอย่างละเอียดแล้ว รู้สึกว่าที่ท่านแม่กล่าวมาก็มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง…”

ฮูหยินใหญ่เวิ่นค่อนข้างตามใจเฉิงนั่ว

เรื่องนี้เฉิงนั่วเองก็ทราบดี

ตอนนั้นอู๋เป่าจางไม่พอใจเป็นอย่างมาก กล่าวถ้อยคำประเภทที่ว่า ‘เป็นมารดาที่ตามใจบุตรชายเกินไป’ เหล่านั้นออกมา เขากลัวผู้อื่นได้ยิน อยากจะปิดปากอู๋เป่าจางเอาไว้ยิ่งนัก

คิดไม่ถึงว่าการที่เขาเลียนแบบพฤติกรรมของบิดาด้วยการไม่สนใจอู๋เป่าจางสองสามวันนั้น จะทำให้อู๋เป่าจางรู้จักความน่ายำเกรงของเขาแล้ว

เขาได้ยินแล้วก็เชิดคางขึ้น เปล่งเสียง “อืม” ออกมาเสียงหนึ่งด้วยความภาคภูมิใจที่แฝงความทะนงตัวอยู่ด้วยหลายส่วน แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้ารู้ก็ดี ตระกูลเฉิงของพวกข้านี้เป็นตระกูลบัณฑิตที่มีแบบแผนสืบทอดต่อกันมา จึงเชี่ยวชาญเรื่องเรียนหนังสืออ่านตำราเป็นที่สุด เวลาไหนควรอ่านตำราอะไร และเวลาใดควรจะอ่านตำรานั้นล้วนมีกฎระเบียบที่แน่นอน เจ้าไม่เข้าใจก็ไม่ต้องมาคอยกำกับเจ้ากี้เจ้าการอยู่ข้างๆ…”

อู๋เป่าจางต้องยั้งตัวเองเอาไว้ถึงได้ไม่สะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป

เหตุใดตอนแรกนางถึงคิดว่าการแต่งงานกับเฉิงนั่วก็เป็นเรื่องที่ไม่แย่นักกันนะ

ชีวิตนี้นอกจากของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันอย่างพวกฟืน ข้าว น้ำมันและเกลือแล้ว การมีสามีน่ารำคาญเช่นนี้ผู้หนึ่ง ก็ถือเป็นความน่ากังวลอีกประเภทหนึ่งเช่นกัน

น่าเสียดายที่เฉิงลู่เองก็เป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้ผู้หนึ่ง มาถึงจุดที่ถึงกับต้องขายสมบัติตกทอดของตระกูลเพื่อรักษามารดาที่กำลังป่วย โชคดีที่ตอนนั้นนางไม่ได้ยืนกรานจะยื้อต่อไป นี่หากว่าแต่งกับเขาไป สิ่งที่ขาดแคลนก็จะเป็นของใช้จำเป็นในชีวิตประวันอย่างพวกฟืน ข้าว น้ำมันและเกลือเหล่านั้นแล้ว

แต่สุดท้ายแล้วของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันย่อมสำคัญกว่าความพึงใจในตัวกันและกันของทั้งสองฝ่าย

นางควรจะดีกับเฉิงนั่วเอาไว้สักหน่อยคงจะดีกว่ากระมัง ให้เฉิงนั่วไปต่อสู้กับพ่อแม่สามีที่ไม่ปรกติของนางคู่นั้นแทน

รอให้นางให้กำเนิดบุตรชายแล้วค่อยๆ เลี้ยงดูเขาให้ดี อีกทั้งยังมีร่มเงาเย็นสบายของต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลเฉิงอยู่ด้วยแล้ว นางไม่เชื่อว่าจะเลี้ยงดูจิ้นซื่อออกมาผู้หนึ่งไม่ได้

เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว อู๋เป่าจางรู้สึกว่าชีวิตดูมีความหวังขึ้นมา

นางเอ่ยกับเฉิงนั่วอย่างแย้มยิ้มว่า “ท่านจะไปชมดอกไม้ที่สวนหลังบ้านหรือไม่”

“ชมดอกไม้นั้นไม่ต้องแล้ว” เฉิงนั่วกล่าวอย่างสบายๆ “ให้บ่าวในครัวทำกับแกล้มมาสักสองอย่างและสุราชั้นดีมาหนึ่งไหถึงจะถูกต้อง!”

ถูกต้องกับผีล่ะไม่ว่า!

อู๋เป่าจางกร่นด่าอยู่ในใจ ทว่ายังคงขานรับว่า “เจ้าค่ะ” ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ให้สาวใช้ไปที่ห้องครัว ส่วนตัวเองเดินไปหลังบ้านเป็นเพื่อนเฉิงนั่ว

เฉิงนั่วมองอู๋เป่าจางที่อ่อนน้อมว่านอนสอนง่ายแล้ว รู้สึกว่าชีวิตครอบครัวเล็กๆ ของตนนี้ก็ไม่แย่นัก สั่งบ่าวชายข้างกายว่า “นำเทียบเชิญไปส่งให้คุณชายใหญ่จวี่ บอกว่าข้าเชิญเขามากินข้าวและร่ำสุรา”

บ่าวชายออกไปอย่างรวดเร็ว

อู๋เป่าจางโกรธจนมือสั่นระริกไม่หยุด ยั้งตัวเองเอาไว้ถึงได้ไม่สาดน้ำชาร้อนๆ ในมือจอกนั้นใส่หน้าเฉิงนั่ว

ตระกูลเฉิงเป็นตระกูลบัณฑิต ยืดถือหลักปฏิบัติเก่าแก่ จึงไม่มีธรรมเนียมหยอกล้อบ่าวสาวถึงห้องหอ แต่วันที่นางแต่งเข้ามานั้น เป็นเฉิงจวี่ผู้นั้นที่นำแขกบุรุษที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใดกลุ่มหนึ่งวิ่งมาทำการหยอกล้อบ่าวสาวถึงห้องหอใหม่ของนาง ก่อนหน้านั้นนางไม่รู้ว่าตระกูลเฉิงยึดถือหลักปฏิบัติเก่าแก่ จึงไม่ได้ใส่ใจ คิดเพียงว่าไล่คนออกไปก็ได้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงจวี่ผู้นั้นกลับกักขฬะหยาบคายยิ่งนักจนทำเอาคนรู้สึกขนลุกขนพองด้วยความโกรธ เนื่องจากเขาถึงกับแอบมาลูบนางครั้งหนึ่ง

ต่อมาหลังจากที่นางรู้ว่าตระกูลเฉิงไม่มีธรรมเนียมหยอกล้อบ่าวสาวถึงห้องหอ ก็อยากดื่มเลือดกัดกินเนื้อของเขายิ่งนัก แต่ไม่ว่านางจะพูดอย่างไรเฉิงนั่วคนโง่เขลาผู้นี้ล้วนแล้วแต่ไม่ฟัง พูดเพียงว่านางจิตใจคับแคบ เฉิงจวี่พาคนมาหยอกล้อถึงห้องหอทำให้นางเสียหน้า นางก็เลยมีอคติกับเฉิงจวี่…ด้วยเรื่องนี้ทั้งสองคนเกือบจะทะเลาะกันขึ้นมาแล้ว

อู๋เป่าจางจะจดจำคนผู้นี้ไปตลอดชีวิตไม่มีวันลืม!

ตอนที่ 338 ของไร้ค่า 1

ตอนที่ 338 ของไร้ค่า 2

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน