วันถัดมา โจวเสาจิ่นตื่นตั้งแต่ยามเหม่าชู[1] เหมือนที่เคยเป็นมาตามปรกติ
ชุนหว่านอดเกลี้ยกล่อมนางไม่ได้ว่า “เมื่อคืนท่านถักพู่จนถึงยามสามถึงเข้านอน ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าก็ให้ท่านไม่ต้องไปคารวะยามเช้า ท่านจะตื่นเช้าขนาดนี้ทำไมเจ้าคะ นอนต่ออีกสักหน่อยดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นนอนไม่หลับ ยิ้มพลางตอบไปว่า “เคยชินกับการตื่นแต่เช้าเช่นนี้ไปแล้ว เจ้าให้ข้านอนอีกก็นอนไม่หลับอยู่ดี ไม่สู้ตื่นขึ้นมาถักพู่สักหน่อยดีกว่า!”
ช่วงก่อนมักจะเลื่อนเวลาออกไปจนถึงยามเหม่าเจิ้ง[2] ถึงค่อยตื่นมิใช่หรือ
ชุนหว่านตะลึงงัน เอ่ยขึ้นว่า “ท่านยังจะถักพู่อีก! ระวังสายตาด้วยนะเจ้าคะ!”
“ไม่เป็นไรหรอก” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เรื่องของข้า ข้าย่อมรู้ดี”
เนื่องจากคุณหนูรองโตแล้ว บางเรื่องก็มิใช่เรื่องที่พวกนางผู้เป็นบ่าวไพร่เหล่านี้จะช่วยตัดสินใจให้ได้
ชุนหว่านจึงได้แต่โน้มน้าวไปว่า “เช่นนั้นหากท่านรู้สึกเหนื่อยล้าก็ต้องพักผ่อน อย่าได้ฝืนเป็นอันขาด หากว่าคุณหนูใหญ่ทราบ จะต้องโทษบ่าวว่าไม่ดูแลคุณหนูรองให้ดีเป็นแน่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นมองนางแล้วระบายยิ้ม มิได้เอ่ยตอบคำใด
ชุนหว่านได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในใจ แล้วไปบอกที่ครัวให้ช่วยตระเตรียมมื้อเช้าให้โจวเสาจิ่น
เฉิงเจียวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้นดีใจ “เสาจิ่นๆ!”
คนของเรือนฝูชุ่ยได้ยินเสียงลิงโลดยินดีของนางมาตั้งแต่ไกลๆ แล้ว
โจวเสาจิ่นลุกขึ้นออกไปต้อนรับ พลางถามชุนหว่านยิ้มๆ ไปด้วยว่า “นี่เกิดอะไรขึ้น ไม่ได้เห็นนางร่าเริงเช่นนี้มาพักหนึ่งแล้ว”
ชุนหว่านหยอกเย้าเล่นๆ ว่า “สงสัยเมื่อวานจะได้รับซองแดงซองโตมาจากสะใภ้ใหญ่เก้าซองหนึ่งกระมัง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
เฉิงเจียวิ่งเข้ามาถึง เอ่ยถามขึ้นอย่างแง่งอนว่า “พวกเจ้าว่าร้ายอะไรข้าอีก”
นี่มิใช่เวลาที่นางควรจะพูด ชุนหว่านย่อมไม่เอื้อนเอ่ยคำใดนอกจากยิ้มให้เท่านั้น
ส่วนโจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกข้ากำลังคุยกันว่านกกระจอกตัวใหญ่จากที่ใดไม่รู้บินเข้ามาตัวหนึ่ง ร้องเสียงดังจนหูของผู้คนจะหนวกกันหมดแล้ว!”
“เจ้าต่างหากที่เป็นนกกระจอกตัวใหญ่!” เฉิงเจียวิ่งไปดึงหูของโจวเสาจิ่นอย่างไม่ยินยอม
โจวเสาจิ่นรีบถอยออกไปเพื่อนหลบเลี่ยงมือของนาง
เฉิงเจียวิ่งไล่ตาม
ทั้งสองคนวิ่งเข้าห้องโถงไปอย่างเริงร่า
เฉิงเจียเห็นว่าบนโต๊ะวางตะเกียบเอาไว้ จึงนั่งลงไปอย่างไม่เกรงใจ เอ่ยถามชุนหว่านว่า “มื้อเช้าของวันนี้คืออะไรหรือ ข้าเอาเต้าฮวยรวมมิตรถ้วยหนึ่ง!”
เนื่องจากโจวเสาจิ่นชื่นชอบรับประทานเต้าฮวยรวมมิตร เต้าฮวยรวมมิตรของเรือนหานปี้ซานนอกจากจะอร่อยแล้ว เครื่องที่ใส่โรยหน้าก็มีหลากหลายชนิดกว่าเต้าฮวยจากข้างนอกอีกด้วย เฉิงเจียกินครั้งหนึ่งแล้วก็ชื่นชอบยิ่งนัก ยังให้คนที่ครัวของจวนสามมาศึกษาวิธีทำเป็นการเฉพาะอีกด้วย
โจวเสาจิ่นนั่งลงตรงกันข้ามนาง ดวงหน้ายังมีรอยยิ้มประดับอยู่อย่างไม่เลือนหาย กล่าวยิ้มๆ ว่า “มาได้เร็วไม่สู้มาได้ถูกจังหวะ เจ้าช่างเลือกเวลาได้เหมาะเจาะยิ่ง!”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เฉิงเจียกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เจ้าช่างไม่ดูเลยว่าข้าเป็นผู้ใด”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก เอ่ยถามนางว่า “เห็นเจ้าดีอกดีใจเช่นนี้ หรือว่าท่านป้าใหญ่หลูยอมพูดกับเจ้าแล้ว”
พอพูดถึงเรื่องนี้ไหล่ของเฉิงเจียก็ห่อเหี่ยวลง ตอบอย่างเศร้าสร้อยว่า “เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะ ข้าว่าคงได้แต่ต้องใช้วิธีการของหลี่จิ้งเสียแล้ว! เมื่อวานข้าเข้าไปหาท่านแม่ของข้า นางไม่แม้แต่จะชายตามองข้าสักนิดเลยด้วยซ้ำ”
โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกทอดถอนใจแทนนางไปด้วย
ในทางกลับกันเฉิงเจียเป็นผู้ที่ค่อนข้างจะมองโลกในแง่ดี กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเราเลิกพูดถึงเรื่องหดหู่พวกนี้เถอะ เมื่อวานเจ้าน่าจะไปดูเจ้าสาวที่เรือนหอกับข้าด้วย พี่สะใภ้เก้างดงามยิ่งนัก! นอกจากจะวางตัวได้อย่างสุภาพอ่อนโยนมากแล้ว ยังมอบซองแดงซองโตให้ข้าซองหนึ่งอีกด้วย!”
สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องต่างขำพรืดออกมา
เฉิงเจียเอ่ยถามอย่างฉงนว่า “ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ”
“ไม่เลยๆ” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ต้องมิใช่เพราะสาเหตุนี้ที่ทำให้เจ้าดีใจมากถึงเพียงนี้หรอกกระมัง”
เฉิงเจียยิ้มอย่างขัดเขิน
โจวเสาจิ่นเห็นว่านางดูเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับตน จึงส่งสายตาให้ชุนหว่าน
ชุนหว่านและคนอื่นๆ วางมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างก็ถอยออกไปทั้งหมด
เฉิงเจียใช้ช้อนคนเต้าฮวยรวมมิตรไปด้วย พร้อมกับกระซิบถามนางด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้มไปด้วยว่า “มิใช่ว่าท่านแม่ของข้าไม่ยอมบอกอะไรกับข้าเลยหรอกหรือ ข้าเห็นทุกคนต่างชื่นชมพี่สะใภ้เก้าว่าประพฤติตัวได้อย่างเหมาะสม จึงตัดสินใจจะไปขอคำแนะนำจากนาง นางเพิ่งเป็นเจ้าสาวมาหมาดๆ มิใช่หรือ อีกทั้งตระกูลเหอก็เป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น หากข้าทำตามนาง จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “นั่นย่อมเป็นของแน่อยู่แล้ว!”
เฉิงเจียเห็นว่าโจวเสาจิ่นเห็นด้วยกับความคิดของนาง อารมณ์จึงยิ่งเบิกบานมากขึ้น ปรึกษาโจวเสาจิ่นเสียงค่อยว่า “เจ้าว่า ข้าควรพูดเรื่องนี้กับพี่สะใภ้เก้าอย่างไรดี นางจะหัวเราะเยาะข้าที่ไม่รู้จักอายหรือไม่ หากว่าข้ามีเวลาพบปะพูดคุยกับนางมากกว่านี้ก็คงจะดี ตอนนี้เหมือนเป็นการไล่เป็ดขึ้นคอน[3] ก็ไม่ปาน นางต้องคิดว่าข้าบ้าไปแล้วแน่ๆ!”
ท่าทางดูมีปัญหาเป็นอย่างมาก
“พี่สะใภ้เก้าเป็นสะใภ้ที่ท่านป้าใหญ่ของข้าเลือกมาด้วยตนเอง ต่อให้เจ้าไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก็ควรจะเชื่อสายตาของท่านป้าใหญ่ของข้าถึงจะถูก” นี่เป็นคำพูดจากประสบการณ์ในชาติที่แล้วของโจวเสาจิ่น นางกล่าวเสริมอีกว่า “นอกจากนี้เรื่องบางเรื่องหากเจ้าไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร”
เฉิงเจียได้ยินแล้วดวงตาเป็นประกาย รีบถามว่า “เจ้ามีความคิดอะไรดีๆ หรือ”
โจวเสาจิ่นตอบยิ้มๆ ว่า “ข้าจะไปมีความคิดอะไรดีๆ ได้ อย่างไรก็ตามหากเปลี่ยนเป็นข้า ข้าจะเล่าปัญหาความทุกข์ใจของตัวเองให้พี่สะใภ้เก้าฟังตามความเป็นจริง จากนั้นก็ขอคำแนะนำจากนางอย่างจริงใจ!”
เฉิงเจียเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “นางจะหัวเราะเยาะข้าหรือไม่”
เฉิงเจียที่ลังเลใจเช่นนี้ โจวเสาจิ่นเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก นางอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “ต่อให้เจ้าไม่บอกนาง ท่านป้าใหญ่หลูกระทำอย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนั้น อีกไม่นานนางก็จะรู้เอง ไม่สู้เจ้าบอกนางไปเลยยังจะดีเสียกว่า! ข้าสัมผัสได้ว่าอุปนิสัยของพี่สะใภ้เก้านั้นไม่เลวเลยทีเดียว”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เฉิงเจียถาม “เจ้าไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับนางมาก่อนเลยนี่นา!”
โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “คราวก่อนตอนที่ไปร่วมงานหมั้นเล็ก ข้าก็ไปด้วยมิใช่หรือ ข้าเห็นกิริยาท่าทางและการจัดการเรื่องต่างๆ ของพี่สะใภ้เก้าแล้วก็รู้สึกว่านางเป็นคนที่ไม่เลวผู้หนึ่ง”
เฉิงเจียลังเลอีกครั้งอยู่นานครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้าจะไปเยี่ยมพี่สะใภ้เก้าตอนนี้เลยก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าว่าเจ้ารออีกสักสองสามวันก่อนแล้วค่อยไปดีกว่า”
เฉิงเจียประหลาดใจ
โจวเสาจิ่นกล่าวว่า “วันนี้นางมาทำความรู้จักกับญาติๆ วันพรุ่งนี้ต้องกลับบ้านเดิม วันมะรืนถึงจะกลับมาจากผูโข่ว”
ทว่าเฉิงเจียกลับอดรนทนรอไม่ไหวเสียแล้ว กล่าวขึ้นว่า “ไอ้โหยว ข้าลองไปดูก่อนดีกว่า บางทีพี่สะใภ้เก้าอาจจะกำลังรู้สึกเบื่อๆ อยู่ก็เป็นได้!”
โจวเสาจิ่นจำต้องส่งนางออกจากเรือนไป จากนั้นไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหานปี้ซาน


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน