หลี่ซื่อไม่ได้ใส่ใจว่าฮูหยินหวงจะคิดอย่างไร
มองจากมุมของนางแล้ว ขอเพียงตนยึดมั่นในความตั้งใจเดิม ไม่โลภไม่โกรธ ก็จะไม่สร้างปัญหาให้โจวเจิ้น โจวเจิ้นเองก็จะยิ่งให้ความเคารพนางมากขึ้น
หลี่ซื่อออกไปส่งฮูหยินหวงด้วยรอยยิ้ม
หลังจากจัดสถานที่ให้โจวเสาจิ่นกับกระถางดอกไม้พวกนั้นของนางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มตระเตรียมของฝากท้องถิ่นให้บรรดาผู้คุ้มกันที่มาส่งโจวเสาจิ่นเหล่านั้น
ฮูหยินหวงเห็นแล้วก็หายใจไม่ออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยิน ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว”
หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นผู้คุ้มกันของตระกูลเฉิง ไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นมาเปล่าๆ ได้”
ฮูหยินหวงได้ยินแล้วกลอกลูกตาไปมาไม่หยุด
หลี่ซื่อเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ท่านมาได้อย่างไร มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
พวกนางนัดแนะกันแล้วว่าจะไปไหว้พระที่วัดต้าฉือเก๋อในวันมะรืนที่จะถึงนี้
ฮูหยินหวงยิ้มพร้อมกับยกกล่องอาหารในมือขึ้น กล่าวขึ้นว่า “วันนี้ข้าทำของกินเล่นอีกแล้วเล็กน้อยจึงนำมามอบให้”
โดยปกติแล้วโจวเสาจิ่นไม่กินของของคนแปลกหน้า
หลี่ซื่อรับมายิ้มๆ กล่าวอย่างอ้อมค้อมว่า “พันคนพันความชอบ ของกินเล่นของท่านนี้ข้าชอบกินเป็นอย่างยิ่ง ทว่าคุณหนูรองของพวกข้ากลับไม่ค่อยคุ้นชินนัก นางเติบโตอยู่ทางใต้ ชอบกินอะไรที่หวานๆ”
ฮูหยินหวงเองก็ไม่ย่อท้อ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินชอบกินก็ดียิ่งแล้ว! รอคุณหนูรองกลับไปแล้ว ข้าค่อยทำมาให้ท่านกินอีกเป็นการเฉพาะ อย่างไรก็ตาม คุณหนูรองมีแผนการอย่างไรหรือ ตั้งใจจะอยู่ยาวหรือว่าหลังจากฉลองปีใหม่เสร็จก็จะกลับจินหลิงเลย?”
หลี่ซื่อพลันระแวดระวังตัวขึ้นมา
ทุกคนต่างอาศัยอยู่ในอาณาบริเวณจวนหลังเดียวกัน อีกทั้งโจวเจิ้นก็เป็นเจ้านาย จึงเป็นไปได้ยากที่จะไม่ถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ทว่าโจวเจิ้นกลับเป็นคนที่ไม่ชอบให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์เป็นที่สุด หลี่ซื่อจึงระมัดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก กระทำการใดๆ ก็พยายามถ่อมตนลง ไม่ให้ผู้อื่นมาสอดแนมเรื่องในบ้านของนางได้
“แน่นอนว่าต้องให้ผ่านปีใหม่ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” นางกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ต่อให้คุณหนูรองอยากกลับไป นายท่านของพวกข้าก็คงไม่อาจปล่อยให้นางกลับไปหรอกกระมัง!”
นี่มิใช่เท่ากับว่าตอบก็เหมือนไม่ตอบหรอกหรือ
ฮูหยินหวงยังอยากจะถามต่อไปอีก ฮูหยินของถานเตี๋ยนสื่อฝ่ายสืบสวนสอบสวนก็เข้ามา
ในมือของนางถือกล่องขนมเอาไว้สองสามกล่อง หลังจากที่กล่าวทักทายหลี่ซื่อและฮูหยินหวงอย่างยิ้มแย้มไปแล้ว ก็แจ้งว่านางมาเยี่ยมโจวเสาจิ่น
หลี่ซื่อไปเชิญโจวเสาจิ่นออกมาคารวะทักทายฮูหยินถาน
ดวงตาของฮูหยินถานพลันดูตกตะลึงอย่างเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมทอเค่อซือสีน้ำเงินไพลิน เส้นผมดุจเส้นไหมสีดำม้วนขึ้นเป็นมวยมวยหนึ่ง ข้างแก้มขาวนวลเนียนนั้นมีตุ้มหูระย้าสีเหลืองขี้ผึ้งตกมาคลอเคลียอยู่ อาจจะเป็นเพราะอยู่ในห้องข้างที่มีความร้อนของท่อทำความร้อนใต้พื้น ใบหน้าจึงแดงเรื่อเล็กน้อย ดูสุขภาพดีเปล่งประกายมีชีวิตชีวา แต่งกายสดใสเป็นอย่างยิ่ง
“นี่คือคุณหนูรองของพวกท่านหรือ” นางถามหลี่ซื่ออย่างไม่กล้าเชื่อเล็กน้อย “หน้าตางดงามจริงๆ! หมั้นหมายแล้วหรือยัง เมื่อวานมาถึงยามใด มาลงเรือที่เทียนจินหรือว่าเดินทางมาทางบกตลอดทาง…” นางยิงคำถามไม่หยุด ยังอยากจะถอดกำไลหยกโมราที่สวมอยู่บนข้อมือให้โจวเสาจิ่นเป็นของขวัญพบหน้าอีกด้วย
โจวเสาจิ่นปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก เป็นหลี่ซื่อเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมนาง นางถึงได้ยอมแพ้
ฮูหยินหวงกลับจ้องมองมุกสีเหลืองขี้ผึ้งที่อยู่บนหูของโจวเสาจิ่นไม่วางตา
แม้แต่หลี่ซื่อก็สังเกตเห็น
ฮูหยินหวงกล่าวอธิบายยิ้มๆ ว่า “ข้าดูแล้วตุ้มหูของคุณหนูรองนี้ดูเหมือนจะมีลวดลายอยู่ด้วย?”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านดูไม่ผิด! มุกบนตุ้มหูของข้านี้เม็ดหนึ่งแกะสลักลายเทพยดาหมากู[1] ส่วนอีกเม็ดหนึ่งแกะสลักลายความผาสุกทั้งสี่ฤดูเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหวงเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “แกะสลักลายพวกนี้ได้อย่างไร มุกเม็ดใหญ่ขนาดนี้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ความจริงแล้วนี่เป็นมุกบนสร้อยลูกประคำของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ซอยจิ่วหรู นางสวมใส่มาหลายปีแล้ว ต่อมามีครั้งหนึ่งข้าไม่สบาย ท่านหมอของตระกูลเฉิงให้ข้ากินยาหลายเทียบแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงให้คนนำมุกสีเหลืองขี้ผึ้งบนสร้อยลูกประคำนั้นมาสองเม็ดทำเป็นตุ้มหูให้ข้า จะว่าไปแล้วก็บังเอิญยิ่งนัก ข้าสวมตุ้มหูนี้ไม่กี่วันก็หายป่วย ข้าเดินทางมาเมืองเป่าติ้งในครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าย้ำกำชับครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ข้าสวมตุ้มหูคู่นี้ระหว่างเดินทางด้วย ข้าเองก็ชื่นชอบยิ่ง จึงสวมใส่มาโดยตลอดมิได้ถอดออก” ขณะที่นางกล่าว ก็ทำท่าจะถอดมันออกมาให้ฮูหยินหวงดู
ฮูหยินหวงรีบกล่าว “ไม่ต้องๆ คุณหนูรองสวมเอาไว้ดีแล้ว”
เนื่องจากนางไม่สงสัยใคร่รู้แล้ว โจวเสาจิ่นเองก็ไม่คะยั้นคะยออีก
ฮูหยินถานได้ยินแล้วก็รู้สึกสนใจ รีบเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้นั้นเป็นคนเช่นไรหรือ ได้ยินมาว่านางมีบุตรชายสามคน ล้วนเป็นจิ้นซื่อหมดทั้งสามคน บุตรชายคนโตยิ่งแล้วใหญ่เป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนักใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นนึกถึงท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วก็หัวเราะออกมา พยักหน้าพลางกล่าว “ทั้งสามท่านล้วนเป็นผู้มีความรู้สูงส่ง”
ฮูหยินหวงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าถามถึงเรื่องของซอยจิ่วหรูขึ้นมา
เรื่องที่เล่าได้โจวเสาจิ่นก็เล่า เรื่องที่เล่าไม่ได้ก็แสร้งทำเป็นบื้อใบ้ไปเสีย
ซางมามาเข้ามารายงานว่า “คุณหนูรอง อีกประเดี๋ยวผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็จะออกเดินทางกลับจินหลิงแล้ว หัวหน้าคณะฉินหยางกล่าวว่าต้องการเข้ามาโขกศีรษะให้ท่านสักครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ”
ฉินหยางเป็นหลานชายห่างๆ ของพ่อบ้านฉิน ครั้งนี้ก็ได้เขานำคณะผู้คุ้มกันมาส่งนางถึงเป่าติ้ง
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ตลอดทางที่ผ่านมาเขาเองก็เหน็ดเหนื่อยมามาก แต่ให้เขาเข้ามาสักครั้งก็ได้ ข้ามีรางวัลจะมอบให้เขา”
ซางมามายิ้มพร้อมกับเดินออกไป
โจวเสาจิ่นกล่าวขออภัยฮูหยินหวงและฮูหยินถาน ขอตัวไปที่ห้องโถง
ฮูหยินหวงกับฮูหยินถานอดรู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจไม่ได้
โจวเสาจิ่นเป็นสตรีบอบบางในห้องหอผู้หนึ่ง ต่อให้เป็นเพราะตระกูลเฉิงเป็นห่วงเป็นใยนาง จึงให้คนมาส่งนางจนถึงเมืองเป่าติ้ง แต่เมื่อจะเดินทางกลับ ก็ควรจะมากล่าวอำลาคนอย่างเช่นบิดาหรือพี่ชายของโจวเสาจิ่นถึงจะถูก เหตุใดผู้คุ้มกันเหล่านั้นยังต้องมาโขกศีรษะให้นางด้วย ราวกับว่านางต่างหากที่เป็นเจ้านายก็ไม่ปาน…
ฮูหยินหวงยื่นคอมองออกไปด้านนอก
เห็นผู้คุ้มกันคนนั้นยืนอยู่หลังฉากกั้นค้อมตัวทำความเคารพโจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่ง ถึงได้หยัดกายขึ้นมา รับรางวัลจากซางมามา ลดเสียงลงกล่าวขอตัวลาโจวเสาจิ่น แล้วถอยออกไป
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน