ได้ฟังคำพูดของเฉิงฉือแล้ว โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับว่าเบื้องหน้าของนางมีกล่องเครื่องประดับทองชุบส่องประกายระยิบระยับมลังเมลืองฝังเพชรพลอยหลากร้อยชนิดเอาไว้กล่องหนึ่ง ที่แม้นยังไม่ได้เปิดออกก็จินตนาการได้ถึงเครื่องประดับมุกและอัญมณีมีค่าที่บรรจุอยู่ด้านในคอยล่อตาล่อใจนางอยู่
นางลังเลแล้วลังเลอีก ยื่นมือออกไปแล้วก็ดึงกลับมาใหม่
ครู่ใหญ่กว่าจะยับยั้งตัวเองเอาไว้ได้ ก้มศีรษะลงพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ข้า…ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ…”
คำตอบนี้เป็นคำตอบที่เฉิงฉือคาดเอาไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
เขาไม่มีภรรยาคอยดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้าน การที่เสาจิ่นติดตามเขาไปเช่นนี้จะหมายความว่าอย่างไร
เฉิงฉือยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปเถิด!”
โจวเสาจิ่นรู้สึกบื้อใบ้ไปเล็กน้อย
ท่านน้าฉือ…จะปล่อยนางไปเช่นนี้จริงๆ อย่างนั้นหรือ
จะไม่เกลี้ยกล่อมนางสักหน่อยเลยหรือ
แล้วก็จะไม่ถามนางสักหน่อยว่าเพราะอะไรเลยหรือ
โจวเสาจิ่นยืนอยู่ตรงนั้น ชั่วขณะหนึ่งนั้นดูเหม่อลอยเล็กน้อย ประหนึ่งลูกแกะหลงทาง
เฉิงฉือมองแล้วหัวใจอ่อนยวบ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าก็ต้องเร่งเดินทางกลับไปแล้ว เจ้าฉลองปีใหม่อยู่ที่เป่าติ้งให้สบายใจ มีเรื่องอะไรให้บอกซางมามา หรือไม่ก็รอข้ากลับมาค่อยว่ากันอีกที หากได้รับความอยุติธรรมก็ไม่จำเป็นต้องไปโต้แย้งอะไรกับพวกเขา อย่างไรเสียก็มีข้าอยู่!”
“อะไรนะเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากว้าง “ท่าน…ท่านจะเดินทางกลับวันพรุ่งนี้หรือเจ้าคะ ทั้งลมแรงและหิมะตกหนักขนาดนี้ ถ้าหากไม่สบายระหว่างทางขึ้นมาจะทำอย่างไร หรือไม่ หรือไม่…ท่านอยู่ฉลองปีใหม่ที่บ้านของพวกข้าดีหรือไม่” ขณะที่นางกล่าว ก็ร้อนใจจนดวงตาแดงก่ำไปหมด “เซียวเจิ้นไห่ผู้นั้นก็ยังหาตัวไม่พบ ถ้าหากเขาทำอะไรท่านขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
เฉิงฉือเห็นท่าทางจะร้องไห้ของนางแล้ว ในใจพลันสั่นสะท้าน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเชิญคนจากสำนักคุ้มกันมาคุ้มกันข้าเดินทางกลับ เดินทางทางบกตลอดทั้งทาง ไม่มีเรื่องอะไรอย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ มองเฉิงฉือทว่าไม่เอ่ยอะไร
เฉิงฉือถูกมองจนหัวใจรู้สึกบีบรัดขึ้นมา จำต้องก้าวออกไปลูบเส้นผมดุจไหมสีดำของนางเบาๆ กล่าวเสียงค่อยว่า “เด็กดี จงเชื่อฟัง! ข้าไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นยังคงไม่เอ่ยอะไรเช่นเดิม
เฉิงฉือกล่าวอย่างไร้ทางเลือกว่า “หรือไม่ ข้าจะเชิญคนจากสำนักคุ้มกันชังโจวมาคุ้มกันข้าเดินทางกลับไปฉลองปีใหม่ ดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นนึกขึ้นได้ว่าจี๋อิ๋งเป็นคนชังโจว นึกถึงคนที่พาฝานฉีไปกลับระหว่างจิงเฉิงกับจินหลิงอย่างปล่อยภัยตลอดทางแล้ว นางถึงได้ฝืนพยักหน้าให้
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เอาแต่ใจจริงๆ! ข้าไม่ยอมลงให้เจ้า เจ้าก็ไม่ยอมพยักหน้าให้”
ใบหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว ฝืนกล่าวออกมาประโยคหนึ่งว่า “ก็เพราะข้าเป็นห่วงท่าน” แล้วก็ยกกระโปรงวิ่งหนีไป
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าดังลั่น
ไหวซานที่ยืนอยู่ตรงทางเดินหางตากระตุกไม่หยุด
ครุ่นคิดว่าอารมณ์ของเฉิงฉือน่าจะสงบลงมาแล้ว ถึงได้เดินเข้ามา เอ่ยขึ้นว่า “นายท่านสี่ ยังไม่ได้ข่าวคราวของเซียวเจิ้นไห่เลยขอรับ…”
วันนั้นพวกเขาหาตัวเซียวเจิ้นไห่พบที่โรงเตี๊ยมโกโรโกโสแห่งหนึ่ง จับตัวผู้อาวุโสหลายท่านของตระกูลเซียวได้แล้ว ทว่าเซียวเจิ้นไห่กลับหนีไปได้
เฉิงฉืออารมณ์ดี กล่าวยิ้มๆ ว่า “แจ้งข่าวให้อวี๋มู่ของกลุ่มจินซาพาคนมาที่นี่ ล้อมเมืองเป่าติ้งเอาไว้ให้ข้า พวกเรากลับบ้านไปฉลองปีใหม่กันก่อน รอให้ผ่านพ้นเทศกาลโคมไฟแล้วค่อยกลับมาจัดการพวกเขาก็ยังไม่สาย”
ไหวซานรับคำ รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
โชคดีที่มีคุณหนูรองช่วยสร้างเสียงหัวเราะอยู่ตรงกลาง ไม่อย่างนั้นหากเฉิงฉือไล่สืบสวนขึ้นมา ทุกคนอย่าได้คิดจะได้ฉลองปีใหม่เลย
อย่าคิดว่าคุณหนูรองอ่อนโยนนุ่มนวลอย่างเดียว นางยังเป็นคนที่ดีมากอีกด้วย
เขาตัดสินใจนัดซางมามาออกไปซื้อของฝากท้องถิ่นสักหน่อย เอากลับไปฝากผู้อื่น
***
ส่วนโจวเสาจิ่นนั้นพลิกหีบคว่ำกล่องอยู่ในห้องพร้อมกับเร่งชุนหว่านกับปี้เถาว่า “รีบหาเร็วเข้าว่าตกลงผ้าโพกศีรษะสีเขียวมรกตกับผ้าโพกศีรษะสีกรมท่าสองเส้นนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ ทั้งๆ ที่ข้าวางพวกมันไว้กับเสื้อผ้าทารกที่จะมอบให้ท่านพี่ แต่เหตุใดถึงหาไม่เจอแล้ว หรือว่าจะรวมอยู่ในกองเสื้อผ้าทารกที่ส่งไปให้ท่านพี่เรียบร้อยแล้ว? แต่ถ้าท่านพี่ได้รับแล้วก็น่าจะบอกข้าสักคำนี่นา…”
ชุนหว่านรีบกล่าว “คุณหนูรองท่านอย่าร้อนใจไปเลย หากมิใช่อยู่ในหีบนี้ก็คงจะอยู่หีบอื่นสักใบ พวกเราค่อยๆ หาก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
“พรุ่งนี้เช้าท่านน้าฉือจะเดินทางกลับไปแล้ว” ภายในห้องจุดตะเกียงเอาไว้ โจวเสาจิ่นร้อนใจ หน้าผากมีเหงื่อผุดออกมา “ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าท่านน้าฉือจะอยู่ฉลองปีใหม่ที่บ้านของพวกเรา ตอนนี้ไม่เพียงต้องเตรียมของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านยายเท่านั้น ยังต้องเตรียมของขวัญให้ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนและพี่สะใภ้เก้าอีกด้วย หากว่าหาผ้าโพกศีรษะนี้ไม่เจอ จะทำอย่างไรดี”
จริงด้วย!
ของขวัญของผู้อื่นไปหาซื้อให้ได้ แต่ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวน โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ไม่ว่าจะให้เงินหรือให้ทองก็เทียบไม่ได้กับการให้ผ้าโพกศีรษะหนึ่งเส้นที่ทำขึ้นมาด้วยตัวเองได้
เสี่ยวถานเองก็ช่วยหาด้วย
ยิ่งอยู่การเคลื่อนไหวของคนหลายคนนั้นก็ยิ่งเชื่องช้าลง
กระเป๋าใส่กระจกลายเมฆา ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมเทียนเซียง ถุงเงินผ้าแพรสีขาวหิมะ ยังมีลูกตุ้มเผาเครื่องหอมทำจากทองชุบฝังทับทิม ตลับแป้งไข่มุก ขวดน้ำหอมแก้ว…มากมายเต็มไปหมด ทุกชิ้นล้วนประณีตและงดงาม แม้แต่เสี่ยวถาน เห็นแล้วยังชอบจนไม่ยอมวางมือ อยากจะมองเพิ่มอีกสักสองครั้ง
ชุนหว่านนึกถึงตอนที่พวกนางเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่เรือนหานปี้ซานใหม่ๆ คุณหนูรองมีกล่องใส่สมบัติและของมีค่าเล็กๆ เพียงใบหนึ่งเท่านั้น ทว่าวันนี้กลับต้องใช้หีบมาบรรจุของแล้ว…นางจึงรู้สึกว่าจวนหลักไม่มีทางปล่อยคุณหนูรองไปลำพังโดยไม่สนใจอย่างแน่นอน
ขณะที่คนสองสามคนช่วยกันหาอย่างละเอียดอยู่ตรงนั้น ฝานหลิวซื่อก็เดินเข้ามา ถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “นี่พวกเจ้ากำลังหาของอะไรกันอยู่หรือ”
ในมือของนางถือรังนกตุ๋นน้ำตาลกรวดเอาไว้ถ้วยหนึ่ง
เป็นของที่หลี่ซื่อส่งมาให้
บอกว่าเป็นของที่ตระกูลหลี่ส่งมาให้ตอนเทศกาลมอบของขวัญ โจวเสาจิ่นปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก ทว่าหลี่ซื่อกลับยืนกรานว่าต้องการมอบให้นางบำรุงร่างกาย ต่อมาโจวเจิ้นออกคำสั่ง โจวเสาจิ่นถึงได้รับเอาไว้ ฝานหลิวซื่อเห็นว่าสองวันนี้นางมีอาการระคายเคืองที่คอ จึงนำน้ำตาลกรวดไปตุ๋นรังนกมาให้นางดื่มให้คอชุ่มชื้น
ชุนหว่านรีบกล่าว “ผ้าโพกศีรษะสองผืนที่คุณหนูรองทำขึ้นมาด้วยตัวเองเมื่อหลายวันก่อนนั้นหาไม่เจอแล้วเจ้าค่ะ”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน