ซางมามาได้แต่กระแอมไอเบาๆ สองครั้ง ยกน้ำชาเดินเข้ามายิ้มๆ เอ่ยขึ้นว่า “อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ นายทานสี่ดื่มชาไล่อากาศหนาวสักจอกเถิดเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือนั่งลงบนตั่งอิฐตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง โจวเสาจิ่นกลับยืนอยู่ข้างๆ ดูเสมือนกับว่าเขาต่างหากที่เป็นเจ้าของบ้านตัวจริงของบ้านหลังนี้
ซางมามามองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้
แต่โจวเสาจิ่นกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ถามเฉิงฉืออย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านรับประทานมื้อเย็นมาหรือยังเจ้าคะ มาถึงเมืองเป่าติ้งตั้งแต่ยามใด ไหวซานมากับท่านด้วยหรือไม่ ข้าจะให้คนตักน้ำเข้ามาให้ท่านผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ และจะไปสั่งการบ่าวรับใช้ให้จัดเตรียมเรือนรับรองแขกให้ท่านนะเจ้าคะ” แล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างขออภัยว่า “วันนี้ทุกคนต่างออกไปเดินเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟกันหมดแล้ว เกรงว่าคงจะล่าช้าสักเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับชี้ไปยังตั่งตรงข้ามตน เอ่ยขึ้นว่า “นั่งลงมาคุยกันเถิด! ข้าเพิ่งมาถึงเมืองเป่าติ้ง มาดูว่าเจ้าอยู่บ้านหรือไม่ ขี่ม้ามาทั้งวัน รู้สึกเมื่อยล้าเล็กน้อย ตอนนี้ยังไม่อยากกินอะไร เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีขนมวุ้นเกาลัดอยู่มิใช่หรือ ให้คนนำมาให้สักจานข้ากินสักสองสามชิ้นก็พอ แล้วก็ต้มชาเหล่าจวินเหมยมาสักกาหานึ่ง ข้าจะพักสักครู่แล้วค่อยรับมื้อเย็น ส่วนเรือนรับรองแขกนั้นไม่ต้องจัดเตรียมให้แล้ว ข้ามาครั้งนี้ไม่ได้พักอยู่ที่นี่ จะไปพักที่บ้านของสหายผู้หนึ่ง ข้ากับเขาติดต่อกันด้วยเรื่องการค้าบางอย่าง เนื่องจากที่นี่เป็นที่ทำการหยาเหมินของเจ้าเมือง จะเข้าจะออกจึงไม่ค่อยสะดวกนัก รอให้ข้าจัดการธุระจนใกล้เสร็จแล้วค่อยมาเยี่ยมใต้เท้าโจวอีกครั้ง”
โจวเสาจิ่นได้ยินเพียงคำที่เขาบอกว่ารู้สึกเมื่อยล้า กับอยากกินวุ้นเกาลัดเท่านั้น
รีบตะโกนบอกให้สาวใช้เด็กไปยกมาให้ แล้วก็ให้ซางมามาไปต้มน้ำชามาใหม่อีกกาหนึ่ง ถึงได้นั่งลงมาพร้อมกับถามขึ้นว่า “หาตัวเซียวเจิ้นไห่ผู้นั้นเจอหรือยังเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นท่านยังคงพักอยู่ในที่ว่าการหยาเหมินก่อนดีหรือไม่”
“เซียวเจิ้นไห่ไม่ได้อยู่ที่เมืองเป่าติ้งแล้ว” เฉิงฉือกล่าว “ไม่รู้ว่าเขาหลบหนีออกไปได้ตั้งแต่เมื่อใด ข้ามาคราวนี้ก็ด้วยเรื่องนี้ แต่เจ้าแค่ฟังก็พอ มิต้องบอกใต้เท้าโจว เขาจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลตามไปด้วย” กล่าวอีกว่า “นี่เจ้าทำชุดให้ผู้ใดหรือ”
แขนเสื้อขนาดเล็ก ยาวไม่เกินสามชุ่นเท่านั้น
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนดุจน้ำ เอ่ยว่า “ทำให้ลูกน้อยที่ยังไม่คลอดของพี่สาวเจ้าค่ะ”
ถ้าหากโจวเสาจิ่นได้เป็นแม่คน ก็คงจะเป็นแม่ที่อ่อนโยนมากผู้หนึ่งกระมัง!
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “เห็นแก่ที่เจ้าเชื่อฟัง งานเทศกาลโคมไฟคึกคักถึงเพียงนี้ก็ยังเป็นเด็กดีอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน ข้าจะมอบของขวัญเล็กๆ ให้เจ้าสักชิ้นหนึ่งก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง
มิใช่เขาหรอกหรือที่บอกว่าไม่ให้ตนออกไปไหน
นางเชื่อฟังคำของเขาจึงไม่ออกไปไหน เขากลับมาว่านางเช่นนี้ ทำอย่างกับว่านางเป็นคนไม่เชื่อฟังก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นยู่ปากอย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือกลับหันไปยกโคมไฟกระจกรูปดอกบัวขนาดใหญ่เท่าชามปากกว้างมาอันหนึ่ง
เสาของโคมไฟทำจากเงินเนื้อดีแกะสลักเป็นลายใบแปะก๊วย กลีบดอกเป็นกระจกใส เมื่ออยู่ใต้แสงเทียนก็เปล่งรำแสงสว่างไสวออกมา วาววับละลานตา
“สวยมากเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวชื่นชม รับโคมไฟดอกบัวมา “ซื้อมาจากที่ใดหรือเจ้าคะ”
“ให้คนทำมาให้” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “แขวนมันไว้บนหัวเตียง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
โคมไฟอันนี้เห็นได้ชัดว่ามิใช่ของที่ขายอยู่ตามท้องถนนพวกนั้น
นางถามอย่างประหลาดใจว่า “ท่านน้าฉือรู้จักคนทำโคมไฟด้วยหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าอย่าลืมว่าข้าเป็นพ่อค้าผู้หนึ่ง”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า “เป็นพ่อค้าผู้ทรงภูมิผู้หนึ่ง”
เฉิงฉือยิ้ม
ซางมามากับสาวใช้เด็กยกน้ำชาและของว่างเข้ามา
สีหน้าของทั้งสองคนต่างเผยความประหลาดใจออกมา มองสำรวจโคมไฟนั้นไม่หยุด สาวใช้เด็กผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่เกือบจะทำจานหล่นลงพื้นไปแล้ว
โจวเสาจิ่นกลั้นยิ้ม รับน้ำชามาจากมือของซางมามาแล้ววางลงตรงหน้าเฉิงฉือด้วยตัวเอง
เฉิงฉือเพียงไม่อยากให้โจวเสาจิ่นเป็นกังวลใจเท่านั้น ล้างมือแล้วกินวุ้นเกาลัดไปสองชิ้น จิบน้ำชาสองคำแล้วลุกขึ้นกล่าวอำลา “ข้ายังมีธุระอีกเล็กน้อย อีกสองวันค่อยมาเยี่ยมพ่อของเจ้าอีกครั้ง”
โจวเสาจิ่นรู้ว่าเขามีธุระ จึงไม่กล้ารั้งเขาเอาไว้ ให้คนนำวุ้นเกาลัดที่เหลือไปห่อแล้วให้เขานำไปด้วย กล่าวว่า “หากหิวกลางดึก จะได้เอามารองท้องเจ้าค่ะ” กล่าวอีกว่า “ไปอยู่บ้านผู้อื่นย่อมไม่สะดวกสบายนัก หากอยากกินหรืออยากดื่มอะไร ก็ให้คนมาแจ้งนะเจ้าคะ ข้าจะให้ในครัวทำไปให้ท่าน”
เฉิงฉือพยักหน้าน้อยๆ ก้าวเท้ายาวๆ ออกจากที่พักของโจวเสาจิ่นไป
โจวเสาจิ่นยืนอยู่ตรงทางเดิน จนกระทั่งเงาร่างของเฉิงฉือลับหายไปนานแล้ว ร่างกายจึงรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย และด้วยการเร่งเร้าของซางมามาถึงได้ยอมกลับห้อง
แต่เมื่อกลับมาถึงห้องนางก็ไม่มีกะจิตกะใจทำงานเย็บปักต่อแล้ว ยกโคมไฟอันนั้นขึ้นมาดูแล้วดูอีก เสมือนกับว่าดอกไม้ที่เย็บติดอยู่ด้านบนนั้น นางอยากจะนับดูให้แน่ชัดว่ามีกี่ฝีเข็มก็ไม่ปาน กระทั่งโจวเจิ้นกับหลี่ซื่อและคนอื่นๆ กลับมา นางถึงได้บอกให้ซางมามานำโคมไฟไปแขวนไว้บนหัวเตียง แล้วออกไปต้อนรับโจวเจิ้นกับหลี่ซื่อ
โจวเจิ้นซื้อโคมม้าวิ่งผ้าโปร่งแสงลายแปดเซียนข้ามทะเลมาให้นางหนึ่งอัน ส่วนหลี่ซื่อซื้อโคมกระต่ายมาให้นางหนึ่งตัว
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณยิ้มๆ รู้สึกว่าไม่มีชิ้นไหนสวยเท่าโคมไฟดอกบัวที่เฉิงฉือมอบให้นางชิ้นนั้น
โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่เฉิงฉือมาให้โจวเจิ้นฟัง
แม้นโจวเจิ้นจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นตะลึงงัน
พอได้ยินว่าเฉิงฉือพักอยู่ที่บ้านของสหาย เขาครุ่นคิดแล้วถามขึ้นว่า “น้าฉือของเจ้าได้บอกหรือไม่ว่าสหายของเขาผู้นั้นทำอะไร”
“ไม่ได้บอกเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นรู้ว่าเรื่องของคนรอบกายเฉิงฉือนั้นค่อนข้างซับซ้อน แต่เนื่องจากเขาไม่พูด นางก็เลยไม่เคยถามมาก่อน ด้วยกลัวว่าตนจะไปถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม แล้วทำให้เฉิงฉือไม่สบายใจ
โจวเจิ้นไม่ได้ถามต่อ
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ทางด้านของท่านน้าฉือนั้น มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่าเจ้าคะ”
“นี่ค่อนข้างยากที่จะกล่าว” โจวเจิ้นกล่าว “ปีที่แล้วอากาศที่เมืองซีอันไม่ดี เป็นเหตุให้ได้พืชผลน้อยลง เป็นเพราะได้พืชผลส่งมาจากหูก่วงส่วนหนึ่ง ถึงได้ทำให้จัดส่งให้ทั้งเก้าฝ่ายได้อย่างทั่วถึง ตอนนี้เป็นฤดูเพาะปลูกพอดี ทางด้านเมืองซีอันกลับมีเรื่องพืชผลไม่เพียงพอเกิดขึ้นมาอีก หากสหายของน้าฉือของเจ้าผู้นั้นทำการผลิตพืชผลต่างๆ เกรงว่าพวกเขาคงคิดจะส่งพืชผลจากที่นี่ไปให้ทางโน้น”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน