หลี่ซื่อกับฮูหยินถานคิดไปในทางเดียวกัน
ยังไม่ผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ โจวชูจิ่นที่กำลังตั้งครรภ์อุ้มท้องโตกับเลี่ยวเส้าถังก็เดินทางไกลกว่าพันหลี่มาถึงเป่าติ้งแล้ว ตระกูลเลี่ยวต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นแน่
แต่ตอนที่นางเจอโจวชูจิ่นกับเลี่ยวเส้าถังนั้นกลับไม่กล้าเอ่ยถามอะไรสักประโยค พาพวกเขาไปพักที่เรือนรับรองแขกอย่างกระตือรือร้น สั่งการให้สาวใช้ยกน้ำร้อนเข้ามาปรนนิบัติพวกเขาล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นถอยออกไปยังโถงรับรองข้างๆ คอยกำกับสาวใช้จัดโต๊ะอาหาร
นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่โจวชูจิ่นได้มาเยือนเมืองทางเหนือ
อากาศที่หนาวเย็นทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากได้จิบน้ำชาร้อนๆ ไปหลายคำแล้ว นางถึงได้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ลูบท้องกลมโตนั้นเบาๆ พร้อมกับเอ่ยกับฉือเซียงที่กำลังสั่งการสาวใช้เปิดหีบสัมภาระอยู่นั้นว่า “หยิบพวกของใช้ที่จะได้ใช้ในชีวิตประจำวันออกมาสักหน่อยก็พอ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้เลยก็เป็นได้”
ฉือเซียงถามอย่างประหลาดใจว่า “ท่านบอกว่าอยากจะอยู่กับคุณหนูรองสักสองสามวันมิใช่หรือเจ้าคะ”
โจวชูจิ่นรู้สึกเหนื่อยและง่วงนอนเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ปากก็ว่าอย่างนั้น แต่ถ้าข้าพักอยู่ที่นี่จริงๆ เกรงว่าข่าวลือนั่นคงได้โบยบินไปทั่วทุกที่แน่” ขณะที่นางกล่าว ก็อ้าปากหาวครั้งหนึ่ง กล่าวต่อว่า “ข้าจะเอนตัวนอนบนหมอนใบใหญ่นี้สักครู่หนึ่ง หากทางด้านของคุณชายใหญ่จัดเก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เจ้ามาเรียกข้า”
ฉือเซียงขานรับคำว่า “เจ้าค่ะ”
แต่เมื่อโจวชูจิ่นลืมตาตื่นขึ้นมา ก็ตีกลองบอกเวลายามสองแล้ว
โจวชูจิ่นตกใจ
มีเสียงหวานอ่อนโยนดังขึ้นที่ข้างหูเสียงหนึ่ง กล่าวเจือรอยยิ้มว่า “ท่านพี่ ในที่สุดท่านก็ตื่นขึ้นมาเสียที ฉือเซียงบอกว่าท่านจิบน้ำชาไปเพียงไม่กี่คำก็ผล็อยหลับไปแล้ว ข้าเป็นห่วงแทบแย่ กลัวว่าท่านจะทำให้หลานชายที่ยังไม่เกิดของข้าผู้นั้นหิวโหยเจ้าค่ะ”
“เสาจิ่น!” ดวงตาของโจวชูจิ่นสว่างวาบ จับมือนุ่มผิวเนียนละเอียดของเด็กสาวสวมชุดเพ่ยจื่อสีชมพูไร้ลวดลายที่อยู่ตรงหน้าผู้นั้นเอาไว้ “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดถึงไม่ปลุกข้า” ทว่าประโยคสุดท้ายนั้นกลับเป็นการกล่าวตำหนิฉือเซียงที่เอาแต่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่อย่าตำหนินางเลย เป็นฝานมามาบอกมาเจ้าค่ะ ฝานมามามีประสบการณ์มาก่อน นางบอกว่าคนท้องนั้นเวลาอยากกินก็ต้องกิน เวลาอยากนอนก็ต้องนอน ซึ่งเป็นพฤติกรรมปกติของเด็กในท้อง ให้พวกข้าไม่ต้องปลุกท่าน ให้ท่านได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มสักตื่นหนึ่ง หากรู้สึกหิว จะตื่นขึ้นมาเองเจ้าค่ะ” นัยน์ตาดุจน้ำในฤดูใบไม้ผลิของนางจ้องมองพี่สาวอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้ท่านหิวหรือไม่เจ้าคะ”
พอลงจากเรือก็เปลี่ยนมาขึ้นรถม้าทันที
พวกเขาไม่กล้าเดินทางอย่างรีบเร่ง ตอนเข้าเมืองมาจึงถึงยามเซินชู[1]แล้ว ตอนกลางวันนางกินอาหารแห้งที่พกติดมาด้วยอย่างลวกๆ ไปสองคำเท่านั้น โจวเสาจิ่นไม่เอ่ยถึงยังดีอยู่ แต่พอโจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นมา นางก็พลันรู้สึกว่าตัวเองหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ ขึ้นมา
โจวเสาจิ่นยิ้มอย่างอ่อนหวาน ตะโกนเรียกชุนหว่านเสียงหนึ่ง
ชุนหว่านยกรังนกเดินเข้ามา
โจวเสาจิ่นกล่าว “ท่านพี่ดื่มรองท้องไปก่อน ข้าจะให้นำอาหารมาขึ้นโต๊ะเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นพยักหน้า ถามถึงเลี่ยวเส้าถังขึ้นมา “พี่เขยของเจ้าไปไหนแล้ว เขาได้กินข้าวหรือยัง”
โจวเสาจิ่นหัวเราะหน้าทะเล้น กล่าวเย้าแหย่โจวชูจิ่นว่า “ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ พี่เขยกินข้าวไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้กำลังคุยกับท่านพ่ออยู่ในห้องหนังสือเจ้าค่ะ! ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะถึงคราวให้ข้าได้มาเฝ้าท่านกัน”
โจวชูจิ่นหน้าแดง
นางกับเลี่ยวเส้าถังรักใคร่กันเป็นอย่างดี ไม่เจอกันเพียงครู่หนึ่งก็รู้สึกคิดถึงเป็นอย่างยิ่งแล้ว
โจวเสาจิ่นเอ่ยเย้าขึ้นว่า “ก่อนไปพี่เขยเดินเข้ามาดูท่านพี่ ยังเป็นห่วงว่าท่านพี่จะหิว ถ้าหากมิใช่เพราะฝานมามารับประกันว่าท่านไม่เป็นอะไรแล้วล่ะก็ พี่เขยก็คงจะปลุกท่านตื่นขึ้นมาแล้ว ต่อให้เป็นเช่นนี้ พี่เขยยังคงให้ข้าส่งคนไปดูในครัวเอาไว้ พอท่านตื่นขึ้นมาจะได้กินได้เลย”
โจวชูจิ่นหน้าแดงซ่าน ถลึงตาใส่น้องสาวครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “กินข้าวก็กินข้าวเถิด เหตุใดต้องกล่าวอะไรมากมายด้วย”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก
โจวชูจิ่นไม่สนใจนาง หลังจากกินรังนกเสร็จแล้ว ฝานมามากับป้ารับใช้สองคนที่กำลังยกตั่งตัวเตี้ยเอาไว้ก็เดินเข้ามา
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ทางเหนือล้วนรับประทานอาหารกับตั่งตัวเตี้ย หากท่านพี่รู้สึกไม่คุ้นเคย พรุ่งนี้ข้าจะให้คนย้ายโต๊ะเข้ามาสักตัวหนึ่ง”
โจวชูจิ่นรู้สึกไม่คุ้นชินจริงๆ
นอกจากนี้ก็อยู่บ้านเดิมของตัวเอง อีกทั้งนางยังตั้งครรภ์อยู่ด้วย จึงไม่คิดจะสร้างความลำบากให้ตัวเอง
นางพยักหน้ายิ้มๆ
โจวเสาจิ่นยกข้าวสวยไปวางตรงหน้าโจวชูจิ่นด้วยตัวเอง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ทางเหนือนี้หาข้าวสวยกินได้ยากยิ่งนัก หากมิใช่เพราะท่านพ่อเป็นคนทางใต้ ไม่ชินกับการกินพวกแป้งและบะหมี่แล้วล่ะก็ ที่ห้องครัวคงไม่อาจหุงข้าวสวยมาให้ท่านได้รวดเร็วขนาดนี้”
โจวชูจิ่นดึงนางมากินข้าวด้วยกัน “…มากินกับข้าวด้วยกันสักสองสามคำเถิด แกล้งกินเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
โจวเสาจิ่นรับคำยิ้มๆ กินกับข้าวเป็นเพื่อนโจวชูจิ่นไปสองสามคำ
กระทั่งโจวชูจิ่นวางตะเกียบลง ฝานหลิวซื่อเดินนำป้ารับใช้เข้ามาจัดเก็บตั่งตัวเตี้ย นำน้ำชาและของว่างขึ้นโต๊ะเสร็จแล้วพวกบ่าวรับใช้ก็ถอยออกไป สองพี่สองเอนกายอยู่บนหมอนอิงคนละข้างแล้วถึงได้เริ่มต้นบทสนทนา
“พี่เขยของเจ้ากลับไปถึงบ้านในวันที่ยี่สิบหกเดือนสิบสองหลังจากผ่านพ้นการฉลองปีใหม่เล็กไปแล้ว แต่คนยังไม่ทันได้นั่งดีๆ นายท่านผู้เฒ่ารองของตระกูลเลี่ยวก็เรียกพี่เขยของเจ้าให้ไปหา” โจวชูจิ่นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บอกว่าพ่อสามีเล่นไพ่ไผจิ่ว[2]กับผู้อื่นแล้วชนะได้เงินมาแปดร้อยกว่าเหลี่ยง ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นเงินที่เขาให้พ่อสามียืมไป แต่เรื่องผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว ก็ไม่เห็นพ่อสามีพูดเรื่องคืนเงิน เขาเห็นว่าใกล้จะปีใหม่แล้ว ทั้งเรื่องต้องมอบของขวัญตามเทศกาลและเรื่องต้องตัดชุดใหม่รวมถึงมอบเงินแต๊ะเอียให้พวกเด็กๆ เงินขาดมือ จึงให้พี่เขยของเจ้าช่วยคืนเงินเขาแทนพ่อสามี พี่เขยของเจ้าพูดไปประโยคหนึ่งว่า ท่านช่วยเอาสัญญากู้ยืมมาให้ข้าดูสักหน่อย เท่านั้นก็ทำให้นายท่านผู้เฒ่ารองของตระกูลเลี่ยวไม่พอใจ ไม่เพียงโยนสัญญากู้ยืมที่ไม่บอกรายละเอียดมาให้ฉบับหนึ่งเท่านั้น ยังตะคอกเสียงดังใส่พี่เขยของเจ้าว่าอกตัญญูอีกด้วย…หากมิใช่เพราะข้าระแวดระวังสั่งให้สาวใช้เด็กผู้หนึ่งตามไปด้วยและไปเรียกแม่สามีเข้ามาอย่างทันท่วงทีล่ะก็ เกรงว่าวันนั้นหากพี่เขยของเจ้าไม่หยิบเงินแปดร้อยเหลี่ยงออกมาให้ก็อย่าหวังจะได้เดินออกมาจากเรือนของนายท่านผู้เฒ่ารองตระกูลเลี่ยวอีกเลย”
กล่าวถึงตรงนี้ โจวชูจิ่นคล้ายหัวเราะกับตัวเอง กล่าวขึ้นว่า “ถึงแม้จะจัดการเรื่องราวได้แล้ว ทว่าพี่เขยของเจ้ากลับเอ่ยกับข้าว่า แม่สามีข้าสงสัยว่านี่จะเป็นกับดักที่พ่อสามีของข้ากับนายท่านผู้เฒ่ารองตระกูลเลี่ยวร่วมมือกันสร้างขึ้นมา เพราะต้องการรีดไถเงินในมือของแม่สามีของข้าไปใช้สักสองสามร้อยเหลี่ยง แม่สามีของข้าคงกลัวว่าหากข้ารู้แล้วนับแต่นี้ต่อไปจะไม่เคารพพวกเขาอีก หลังจากกราบไหว้บรรพชนในวันที่สามสิบแล้ว วันที่สองหลังปีใหม่ก็ให้พี่เขยของเจ้าพาข้าออกเดินทางมาไหว้ปีใหม่ท่านพ่อที่เป่าติ้ง หลังผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่แล้วก็ให้ตามพี่เขยของเจ้าไปอยู่ที่จิงเฉิงเลย นางจะตามไปจิงเฉิงหลังจากนี้เพื่อดูแลข้าช่วงคลอดลูก…”
เรื่องน่ากวนใจของตระกูลเลี่ยวทำให้โจวเสาจิ่นตะลึงงันไปเป็นลำดับแรก เนื่องจากชาติก่อนนั้นนางรู้แค่เพียงว่าตระกูลเลี่ยวนั้นซับซ้อน แต่ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะไปไกลได้ถึงขนาดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะพี่สาวรู้สึกว่าเล่าให้นางฟังแล้วมีแต่จะทำให้นางกังวลใจตามไปด้วย ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร ฉะนั้นอยู่ต่อหน้านางพี่สาวจึงไม่เผยอะไรให้รู้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ชาตินี้พี่สาวได้รับความโปรดปรานจากแม่สามี มีแม่สามีออกหน้ามาช่วยเหลือนาง ทำให้พี่สาวสลัดเรื่องไม่น่าอภิรมย์ใจเหล่านั้นออกไปได้ชั่วคราว…ลำดับถัดมานางรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ไม่มีกะจิตกะใจไปพูดถึงเรื่องของตระกูลเลี่ยวกับพี่สาวอีก เอ่ยขึ้นอย่างยินดีว่า “เช่นนั้นท่านพี่ก็คงจะได้ไปอยู่จิงเฉิงแล้วกระมัง ต่อไปข้าก็จะได้ไปเยี่ยมท่านพี่บ่อยๆ แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน