ช่างเสแสร้งได้เสมือนจริงยิ่งนัก!
เฉิงฉือหัวเราะขบขันอยู่ในใจไม่หยุด
โจวเสาจิ่นชำเลืองมองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง
นัยน์ตาดำชุ่มฉ่ำแวววาวนั้นประหนึ่งแช่อยู่ในน้ำของวสันตฤดู ดวงตาโค้งได้รูปสวยหางตายกขึ้นเล็กน้อย ดูน่ารักและงดงามดุจดอกไม้เดือนห้า
ราวกับมีอะไรมาทุบดวงใจของเฉิงฉือก็ไม่ปาน เสียงดัง ตึง ครั้งหนึ่ง ส่ายไหวไปมาเป็นระลอกคลื่น กว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่อาจทำให้สงบลงมาได้
โชคดีที่เขาเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งมาโดยตลอด สีหน้ายังคงสง่างามดังเดิม ไม่เผยอาการออกมาให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
แน่นอนว่าโจวเจิ้นเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเฉิงฉือ เขารีบกลับเรือนชั้นในอย่างร้อนใจ เมื่อวานเลี่ยวเส้าถังออกเดินทางไปจิงเฉิงล่วงหน้าเพื่อไปจัดเตรียมเก็บกวาดบ้านที่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวมอบให้พวกเขาหลังนั้น โจวชูจิ่นจึงพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อน รอให้เลี่ยวเส้าถังจัดเตรียมทางด้านโน้นเสร็จแล้วค่อยมารับนาง ตอนนี้โจวชูจิ่นอุ้มท้องพักอยู่ที่เรือนด้านหลัง หลี่ซื่ออยู่เป็นเพื่อนนาง โจวเสาจิ่นเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่ง หากเกิดอะไรขึ้นกับโจวชูจิ่น หลี่ซื่อย่อมไม่อาจบอกนางได้ เวลานี้หลี่ซื่ออนุญาตให้โจวเสาจิ่นมาหาเขา เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับโจวชูจิ่น หลี่ซื่อถึงได้ตั้งใจผลักโจวเสาจิ่นออกมาเป็นการเฉพาะ
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าจะเป็นตัวแทนท่านไปส่งท่านน้าฉือเองนะเจ้าคะ”
โจวเจิ้นเป็นห่วงโจวชูจิ่น อีกทั้งมีเจตนาจะผลักโจวเสาจิ่นออกไปด้วย จึงตอบรับด้วยความยินดี จากนั้นกลับเรือนชั้นในพร้อมกับบ่าวชายไปอย่างรีบร้อน
โจวเสาจิ่นเดินออกไปด้านนอกเป็นเพื่อนเฉิงฉือ
สองข้างทางเป็นแมกไม้สูงผละใบโล่งเตียนกับต้นตงชิงเขียวขจีพุ่มเตี้ย
โจวเสาจิ่นถามขึ้นยิ้มๆ ว่า “ท่านน้าฉือจะไปอยู่จิงเฉิงเมื่อใดหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มพลางตอบว่า “หลังจากจัดการเรื่องที่เป่าติ้งเสร็จเรียบร้อยก็จะเข้าเมืองหลวงเลย”
โจวเสาจิ่นก้าวออกไปสองสามก้าว ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเฉิงฉือ กล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่สาวของข้าก็จะไปอยู่จิงเฉิงเหมือนกัน แล้วก็จะพาข้าไปด้วยเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือหยุดฝีเท้าลง มองเด็กสาวที่ระดับสายตาถึงแค่ไหล่ของเขา กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ดียิ่ง! เจ้ามีเวลาว่างก็ไปเป็นแขกที่บ้านข้า!”
รอยยิ้มของโจวเสาจิ่นค่อยๆ เลือนหาย ขมวดคิ้วมุ่นน้อยๆ
นางกำลังจะไปจิงเฉิงแล้ว!
มิใช่ว่าท่านน้าฉือควรจะดีใจเป็นอย่างยิ่งหรอกหรือ
เหตุใดน้ำเสียงถึงได้ราบเรียบเย็นชาเช่นนี้เล่า!
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา
เจ้าเด็กน้อยคนนี้ ไม่มีอารมณ์ขันเลยสักนิด
ก็เพียงตอบนางธรรมดาๆ ไปประโยคหนึ่งเท่านั้น ก็เซื่องซึมเสียแล้ว
ดวงตาสุกใสของเฉิงฉือมีลำแสงเปล่งประกายระยิบระยับดุจดวงดาราวาบผ่าน
“เด็กโง่!” เขายกมือขึ้นแล้วก็วางลงไปอีกครั้ง น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนดั่งลม เอ่ยขึ้นว่า “ซอยอวี๋ซู่ที่พี่สาวของเจ้าอาศัยอยู่อยู่ใกล้กับซอยซวงอวี๋ยิ่งนัก แล้วก็ใกล้กับซอยอวี๋เฉียนมากด้วยเช่นกัน”
“จริงหรือเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากว้าง
ตรอกซอยโดยมากของจิงเฉิงล้วนตั้งชื่อตามสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ซอยซวงอวี๋[1]นั้น โดยมากเป็นตรอกซอยที่มีต้นอวี๋สองต้น
ส่วนซอยอวี๋เฉียน โดยมากก็ปลูกต้นอวี๋เอาไว้ด้วยเช่นกัน
ไม่แน่ว่าตรอกซอยทั้งสองอาจจะอยู่ติดกันเลยก็เป็นได้!
โจวเสาจิ่นร่าเริงขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านน้าฉือดีที่สุด!”
เพียงแค่ซื้อบ้านหลังหนึ่งอยู่ใกล้กับพี่สาวของนางก็ดีที่สุดแล้ว หากนางรู้ว่าตนเป็นคนแนะนำเลี่ยวเส้าถังให้ท่านอารอง ให้เลี่ยวเส้าถังติดตามรวบรวมเขียน ‘แผนผังเมืองหลวง’ กับท่านอารอง ด้วยเหตุนี้ท่านอารองถึงได้เขียนจดหมายไปให้เลี่ยวเส้าถัง ให้เขากลับเข้าเมืองหลวงทันทีหลังจากที่เฉลิมฉลองปีใหม่เสร็จแล้ว และเนื่องจากฮูหยินใหญ่เลี่ยวมาเห็นจดหมายฉบับนี้เข้าพอดี ครั้นคิดว่าหากชื่อของบุตรชายได้ติดผนึกอยู่บน ‘แผนผังเมืองหลวง’ ชีวิตนี้ก็จะมีที่ยืนในหมู่บัณฑิตแล้ว ไม่อาจปล่อยให้อนาคตของบุตรชายต้องหยุดชะงัก และยิ่งไม่อาจปล่อยให้ชื่อเสียงของบุตรชายต้องมาเสียหายอยู่กับเรื่องวุ่นวายพวกนี้ ทำให้เส้นทางในราชสำนักในวันข้างหน้าของบุตรชายต้องเสียหาย นางถึงได้ตัดสินใจส่งบุตรชายกับบุตรสะใภ้ที่ใกล้คลอดบุตรไปตั้งรกรากอยู่ที่จิงเฉิง เลี่ยวเส้าถังถึงได้หนีออกมาจากความวุ่นวายของที่บ้านได้…ไม่รู้ว่าเด็กน้อยจะยิ้มอย่างน่ารักเหมือนแมวที่ขโมยกินปลาสำเร็จหรือไม่
ความคิดวาบผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป เฉิงฉือรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ
ในเมื่อตัดสินใจว่าจะคิดกับนางเสมือนเป็นหลานสาวของตัวเองแล้ว บางเรื่องจึงต้องเรียนรู้จักควบคุมตัวเองเอาไว้
ราวกับมีน้ำเย็นเฉียบกะละมังหนึ่งสาดลงมาจากศีรษะ อารมณ์ของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นพวกเราค่อยพบกันใหม่ที่จิงเฉิง!”
เนื่องจากหลังจากนี้นางจะไปอยู่กับโจวชูจิ่น ด้วยนิสัยของโจวชูจิ่นและคนอย่างเลี่ยวเส้าถังแล้ว ไม่มีทางเอาเปรียบนางอย่างแน่นอน ตนก็จะได้ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงแล้ว
โจวเสาจิ่นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มตาหยี โดยไม่รู้ว่าเฉิงฉือได้ทำการขีดเส้นกั้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้หนึ่งเส้นใหญ่ไปแล้ว
***
ตกกลางคืน โจวชูจิ่นมาหาโจวเจิ้นกับหลี่ซื่อ กล่าวว่าตัวเองอายุครรภ์มากแล้ว เดินทางไปจิงเฉิงคนเดียวรู้สึกหวาดกลัว อยากให้โจวเสาจิ่นร่วมเดินทางไปเป็นเพื่อนนาง จากนั้นก็รั้งอยู่ดูแลนางสักระยะหนึ่ง
โจวเจิ้นทั้งรู้สึกอาลัยอาวรณ์บุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนอย่างโจวเสาจิ่น และเป็นห่วงบุตรสาวที่กำลังตั้งครรภ์อยู่อย่างโจวชูจิ่น เขากล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “หรือว่าเจ้าคลอดบุตรที่เมืองเป่าติ้งดีหรือไม่”
นี่เป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎเกณฑ์ยิ่งนัก
นอกจากนี้ลูกในครรภ์ของโจวชูจิ่นอาจจะเป็นหลานชายคนโตที่เกิดจากบุตรชายคนโตของภรรยาเอกอีกด้วย หรือต่อให้มิใช่หลานชายคนโตที่เกิดจากบุตรชายคนโตของภรรยาเอก แต่นั่นก็เป็นบุตรคนแรกของผู้สืบทอดตระกูลอย่างเลี่ยวเส้าถังผู้นี้ สถานะในตระกูลก็สูงส่งไม่น้อยเช่นกัน
แต่สำหรับโจวเจิ้นแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มีข้อยกเว้นได้
ยกตัวอย่างเช่นโจวชูจิ่นที่ใกล้คลอดแล้ว ทว่ากลับตามเลี่ยวเส้าถังเร่งเดินทางไกลกว่าพันหลี่เพื่อไปจิงเฉิง
การได้คลอดลูกที่บ้าน ได้อยู่พร้อมหน้ากับบิดาและน้องสาว โจวชูจิ่นพลันรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ว่าทางด้านของแม่สามีนั้น…
นางส่ายศีรษะเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าในสภาพเช่นนี้ เดิมทีบรรดาญาติพี่น้องในตระกูลต่างก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ข้าออกจากบ้านอยู่แล้ว เป็นแม่สามีที่ช่วยรับประกันอย่างแข็งขัน ข้าถึงได้ติดตามเส้าถังไปจิงเฉิง ได้เจอท่านพ่อ ฮูหยิน และพวกน้องสาวพร้อมหน้ากันได้…”
แต่การให้เสาจิ่นไปอยู่บ้านของบุตรสาวคนโตที่แต่งงานแล้ว ไม่ว่าอย่างไรโจวเจิ้นก็ไม่ยินยอม
เขายังแข็งแรงดี เดิมทีที่เอาพวกนางไปฝากไว้ที่ซอยจิ่วหรู เป็นเพราะอยากให้พวกนางได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีกว่า แต่ตอนนี้เหตุใดยังต้องให้บุตรสาวไปอาศัยอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่นอีกเล่า
เพียงแต่ว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยคำปฏิเสธออกไป หลี่ซื่อก็ดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ ส่งสายตามาให้เขาครั้งหนึ่ง
ที่ผ่านมาหลี่ซื่อไม่เคยมายุ่งเรื่องของเขากับบุตรสาว เวลานี้นางมีเรื่องอยากพูด โจวเจิ้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรื่องนี้ให้ข้าเอาไปคิดดีๆ ก่อนแล้วค่อยมาให้คำตอบเจ้าก็แล้วกัน”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน