เมื่อไปถึงบ้านตระกูลถาน ฮูหยินถานกำลังสนทนากับภรรยาของเสมียนชั้นผู้น้อยผู้หนึ่งอยู่
เห็นทั้งสองคนหยุดบทสนทนาลุกขึ้นมาต้อนรับนาง นางยิ้มร่าพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ ดูครึกครื้นยิ่งนัก”
ภรรยาของเสมียนชั้นผู้น้อยผู้นั้นเห็นฮูหยินถานยิ้มทว่าไม่ได้เอ่ยอะไร จึงกล่าวขึ้นว่า “กำลังคุยเรื่องที่เรือนใต้เท้าโจวอยู่เจ้าค่ะ มิใช่ว่าต้ากูไหน่ไนกับบุตรเขยคนโตของพวกเขามาหาอย่างกะทันหันหรอกหรือ เริ่มแรกพวกข้ายังคิดว่าเป็นเพราะต้ากูไหน่ไนมีปัญหากับตระกูลเลี่ยว จึงถูกบุตรเขยคนโตส่งตัวมาที่นี่ วันนี้ข้าไปขอยืมลายดอกไม้ที่เรือนใต้เท้าโจวถึงได้รู้ว่า ความจริงแล้วเป็นเพราะบุตรเขยคนโตของพวกเขาได้เป็นลูกศิษย์ของขุนนางอาวุโสอย่างนายท่านผู้เฒ่ารองเฉิง ปัจจุบันขุนนางอาวุโสอย่างนายท่านผู้เฒ่ารองเฉิงสอนหนังสืออยู่ที่สำนักฮั่นหลิน เป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งยศประจำปีการสอบเจี่ยซวีรัชศกหย่งชางปีที่ยี่สิบ ขุนนางอาวุโสเฉิงคนรองท่านนี้ยังได้รับพระราชโองการจากองค์ฮ่องเต้ให้เป็นคนรวบรวมเขียน ‘แผนผังเมืองหลวง’ อีกด้วย บุตรเขยคนโตของพวกเขาเป็นดั่งศาลาริมน้ำที่ได้รับแสงจันทร์ก่อนผู้อื่น ว่ากันว่าจะได้ติดตามขุนนางอาวุโสเฉิงคนรองในการรวบรวมเขียน ‘แผนผังเมืองหลวง’ ด้วย ด้วยเหตุนี้ถึงได้เร่งเข้าเมืองหลวงอย่างรีบร้อน ระหว่างทางจึงถือโอกาสพาต้ากูไหน่ไนของพวกเขามาไหว้ปีใหม่ใต้เท้าโจวสักครั้ง อีกสองสามวัน ก็ต้องเข้าไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว บอกว่าจะได้ดูแลบุตรเขยคนโตของพวกเขาได้สะดวกขึ้น แต่พวกเราล้วนทราบกันดี ว่าเป็นเพราะอยากจะอาศัยอานิสงค์อำนาจของตระกูลเฉิง ดังนั้นคนตั้งครรภ์ท้องโย้ก็ไม่เว้น เร่งเดินทางไกลกว่าพันหลี่มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง เพื่อให้คนตระกูลเฉิงเห็นแก่หลานสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว ให้ช่วยดูแลบุตรเขยคนโตผู้นั้นดีขึ้นอีกเล็กน้อย นี่ช่างสมกับประโยคที่กล่าวว่า มีสหายอยู่ในราชสำนักช่วยให้ตำแหน่งหน้าที่การงานเจริญยิ่งขึ้น ข้าดูบุตรเขยคนโตของตระกูลโจวผู้นี้แล้วขาดก็แต่ยศจิ้นซื่อเท่านั้น ถึงเวลาอย่าให้สอบตกอีกถึงจะดี!”
น้ำเสียงในตอนแรกยังถือว่าปกติดีอยู่ แต่พอกล่าวถึงประโยคสุดท้าย กลับเต็มไปด้วยความริษยา ไม่มีอะไรดีสักประโยคแล้ว
ฮูหยินหวงได้แต่หัวเราะ ทว่าในใจกลับลอบมองฮูหยินถานอย่างดูถูกครั้งหนึ่ง
เอาแต่คบค้าสมาคมกับคนเช่นนี้ และชอบนินทาผู้อื่นลับหลัง จึงไม่แปลกที่จนถึงวันนี้สามีก็ยังเป็นได้เพียงเสมียนขั้นเก้าผู้หนึ่งเท่านั้น
ฮูหยินถานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินโจวและคนอื่นๆ กำหนดออกเดินทางไปจิงเฉิงพรุ่งนี้ พวกเราจะไปส่งหรือไม่”
ฮูหยินหวงตะลึงงันอย่างประหลาดใจ
นางไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว!
ทว่าฮูหยินหวงฝืนเอาไว้อย่างยากเย็นด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะระแคะระคาย กล่าวขึ้นว่า “ข้าย่อมแล้วแต่เจ้าเห็นว่าเหมาะสม”
ฮูหยินถานกล่าวยิ้มๆ อย่างพึงพอใจว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดว่าถึงเวลาพวกเรานำของว่างไปสักสองสามกล่องก็แล้วกัน…”
ฮูหยินหวงฟังอย่างเออออเห็นด้วย เมื่อกลับถึงบ้านก็ให้มามาคนสนิทไปสืบความ ไม่นานก็ได้ข่าวคราวกลับมาว่า “ต้ากูไหน่ไนของพวกเขาจะคลอดบุตรในเดือนสอง ฮูหยินโจวจึงพาคุณหนูรองไปดูแลต้ากูไหน่ไนช่วงอยู่เดือนเจ้าค่ะ”
“คุณหนูรองก็ไปด้วยหรือ” ฮูหยินหวงตกใจเป็นอย่างมาก
มามากล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนที่ข้าไปสอบถาม ได้พบกับหลี่มามาที่กำลังสั่งการบ่าวชายเคลื่อนย้ายหีบสัมภาระอยู่พอดี บอกว่าหลังจากคุณหนูไปแล้วก็จะอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงยาวเลยเจ้าค่ะ ดูเหมือนกับว่าตระกูลเฉิงจะทาบทามเรื่องงานแต่งงานให้คุณหนูรองได้ตระกูลหนึ่ง จึงต้องไปดูตัวเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหวงปากอ้าตาค้าง
ทว่าหลี่ซื่อกลับแย้มยิ้มเต็มใบหน้า กล่าวกับหลี่มามาว่า “ถูกต้องแล้ว เจ้าควรจะกล่าวเช่นนั้น พังพอนเหลืองผู้นั้นจะได้ไม่มาหาประโยชน์จากพวกเราอีก”
หลี่ซื่อตั้งฉายาให้ฮูหยินหวงว่าพังพอนเหลืองอย่างลับๆ กล่าวว่าทุกครั้งที่นางมาล้วนไม่ได้มาด้วยเจตนาดี
หลี่มามาเอามือปิดปากหัวเราะ
โจวเจิ้นกลับมาแล้ว
หลี่ซื่อหันไปส่งสายตาให้หลี่มามาครั้งหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกนางว่าไม่ต้องพูดอะไร จากนั้นถึงได้ออกจากห้องชั้นในไปต้อนรับโจวเจิ้น
โจวเจิ้นถามว่า “เก็บของเสร็จเรียบร้อยหรือยัง”
“เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ “เช้าตรู่วันพรุ่งนี้ก็ออกเดินทางได้เลยเจ้าค่ะ”
โจวเจิ้นถามรายละเอียดอีกครู่หนึ่ง หลังจากไปดูโจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นมาแล้วถึงได้ไปพักผ่อน
จิตใจของโจวชูจิ่นเต็มไปด้วยความยินดีที่จะได้พบสามี ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกเต็มไปด้วยความขมขื่น
นางให้คนไปบอกเฉิงฉือว่าพรุ่งนี้ตนจะออกเดินทางไปจิงเฉิงแล้ว เฉิงฉือให้คนนำค่าเดินทางมามอบให้ ยังบอกนางว่าหากมีเรื่องยากลำบากอะไรให้ไปหาเขาที่ซอยอวี๋เฉียน เขาอาศัยอยู่บ้านหลังที่สามนับจากตะวันออกไปตะวันตกของซอยอวี๋เฉียน
ดูไปแล้วก็ไม่แตกต่างอะไรจากยามปกติเท่าไรนัก แต่โจวเสาจิ่นกลับสัมผัสได้ถึงความเย็นชาและความเหินห่างอยู่รางๆ
หรือว่าการค้าของท่านน้าฉือทางด้านโน้นจะไม่ราบรื่นนัก?
โจวเสาจิ่นพยายามควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเอาไว้อย่างยิ่งยวด
นางไม่อาจปล่อยให้ตัวเองคิดไปเองเรื่อยเปื่อยและทำอะไรตะกุกตะกักเหตุเพราะความเย็นชาเป็นครั้งคราวของท่านน้าฉือเป็นอันขาด
เมื่อนึกถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ปรับอารมณ์ให้แจ่มใสขึ้น
***
บางทีสวรรค์ก็เป็นใจยิ่ง
วันรุ่งขึ้นลมหยุดแล้ว หิมะก็หยุดตกแล้ว ดวงอาทิตย์แย้มใบหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นประคองตัวพี่สาวเอาไว้ขณะกล่าวอำลาโจวเจิ้นอย่างอาลัยอาวรณ์ หลังจากขึ้นรถม้าแล้วก็มุ่งหน้าออกจากเมืองเป่าติ้งไป
ชาติก่อน หลังจากที่นางไปจากตระกูลเฉิงแล้วก็ไม่ได้กลับเมืองจินหลิงอีก อีกทั้งยังนั่งเรือไปตลอดทางจนกระทั่งถึงท่าเรือทงโจวถึงได้ลงจากเรือ ครั้งนี้กลับเป็นการนั่งรถม้าจากเมืองเป่าติ้งไปจิงเฉิง วิวทิวทัศน์แตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง แม้นจะบอกว่าเป็นฤดูหนาว แต่โจวเสาจิ่นยังคงอดไม่ได้ที่จะเลิกผ้าม่านขึ้นมองออกไปด้านนอกหลายต่อหลายครั้ง
ตลอดทางล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเตรียมเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ ต่างกระวีกระวาดกันทำงาน
โจวเสาจิ่นปล่อยผ้าม่านลง ยิ้มพลางกล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “ปีนี้น่าจะมีผลผลิตดีเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนาภายในรถม้า มือวางอยู่บนท้องยิ้มไม่หยุด เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้เสาจิ่นรู้จักสนใจเรื่องผลผลิตดีหรือไม่ดีขึ้นมาแล้วหรือ”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้ท่านพ่อเป็นเจ้าเมืองแล้ว ข้าสนใจเรื่องการผลิตพืชผล ก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือเจ้าคะ”
โจวชูจิ่นหัวเราะร่าดังลั่น
สองพี่น้องเย้าแหย่กันอีกครู่หนึ่ง
ตกกลางคืน พวกเขาพักค้างคืนที่จุดพักม้า
เนื่องจากโจวชูจิ่นกำลังตั้งครรภ์อยู่ โจวเสาจิ่นกลัวว่าหากนอนเตียงเดียวกับพี่สาว หลังจากหลับลึกแล้วจะไปกระแทกใส่พี่สาวโดยไม่รู้ตัว นางจึงแยกนอนคนละห้องกับพี่สาว ส่วนหลี่ซื่อก็พาโจวโย่วจิ่นไปนอนอีกห้องหนึ่ง
จุดพักม้าจะดีเหมือนที่บ้านได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นที่มาถึงสถานที่แปลกใหม่จึงนอนไม่ค่อย
กลางดึก นางสัมผัสได้ว่าดูเหมือนภายในห้องจะมีผู้อื่นอยู่ด้วย
ชุนหว่านที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยในคืนนี้ก็เหน็ดเหนื่อยจากการนั่งรถม้า นางลุกขึ้นมาก็ยังไม่รู้สึกตัว โจวเสาจิ่นจึงยกตะเกียงส่องมองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน ทว่ากลับไม่พบอะไร
แต่เมื่อนอนลงมาอีกครั้ง ความรู้สึกประหลาดนั้นก็กลับมาอีก
ไม่ว่าอย่างไรนางก็นอนไม่หลับ

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน