แม้นโจวเสาจิ่นจะเป็นคนมาสองชาติภพ แต่ไหนเลยจะเคยเจอคนอันธพาลที่สามหาวเช่นนี้มาก่อน
นางจับแขนเสื้อของซางมามาเอาไว้แน่นไม่เอ่ยอะไร
เซียวเจิ้นไห่ยิ่งคึกคะนอง กล่าวยิ้มๆ ว่า “คนงาม หากท่านเสียดายเงินเก็บส่วนตัวเหล่านั้น ไม่สู้ให้ข้าซ่อนตัวอยู่ในหีบสัมภาระของเจ้าดังเดิม และพาข้าไปจิงเฉิงด้วยเป็นอย่างไร เมื่อไปถึงจิงเฉิง ข้าจะมอบบ้านหลังใหญ่ให้เจ้าหนึ่งหลังทันที เจ้าจะขายก็ดีจะแลกเป็นเงินเก็บส่วนตัวก็ดี หรือจะเก็บเอาไว้เป็นสินติดตัวก็ดี…”
โจวเสาจิ่นฟังไม่เข้าหูเลยแม้แต่ประโยคเดียว มองเขาอย่างตื่นตระหนก กลัวว่าเขาจะวิ่งเข้ามาจับตัวนางเอาไว้
เซียวเจิ้นไห่มองแล้วยิ่งรู้สึกสนุก ยังคิดจะแกล้งนางอีกสักหน่อย ทว่าภายในห้องกลับมีเสียงเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งดังขึ้นเสียงหนึ่งว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีบ้านหลังใหญ่ในนามของเจ้าอยู่ด้วย ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใดหรือ ข้ากำลังอยากหาบ้านสักหลังให้คนของข้าพอดี เจ้ามิสู้มอบให้ข้าดีกว่ากระมัง”
คนในห้องต่างหันไปมองตามเสียง
ไม่รู้ว่าเฉิงฉือเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร
เขาสวมชุดจิ้นจวงที่เน้นความคล่องตัว รูปร่างผอมเพรียว สูงโปร่งดุจต้นสน ทว่าในมือถือคันศรยาวสามฉื่อ บริเวณเอวเหน็บแล่งเก็บลูกศรที่บรรจุลูกศรขนสีขาวเอาไว้ สีหน้าเคร่งขรึมดุดัน ไอเย็นแผ่ซ่านทั่วบริเวณ
ห่างออกไปสองสามก้าว มีไหวซานที่หรี่ตาลงเล็กน้อย มือทั้งสองข้างประสานกันเอาไว้ติดตามเข้ามาด้วย
โจวเสาจิ่นตกตะลึง
นี่ท่านน้าฉือแต่งกายอะไรกัน?
ซางมามาเผยสีหน้ายินดีออกมา
ถ้าหากนายท่านสี่มาไม่ทัน แล้วเซียวเจิ้นไห่ก็ไม่ยอมปล่อยคุณหนูรองด้วย นางคงได้แต่ต้องประมือกับเซียวเจิ้นไห่จนกว่าปลาจะตายหรือไม่ก็ตาข่ายขาดกันไปข้างหนึ่งเสียแล้ว
เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าคงจะทำให้คนตระกูลโจวตกใจเป็นแน่ ซึ่งจะนำความวุ่นวายใหญ่หลวงมาให้นายท่านสี่ได้
ตอนนี้นายท่านสี่มาถึงแล้ว คนแซ่เซียวก็เป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ ไม่ควรค่าให้ต้องหวาดกลัวอีกแล้ว
นางถอยไปยังด้านหลังของโจวเสาจิ่น
ทว่าเซียวเจิ้นไห่นั้นลูกตาแทบจะถลนตกลงมา ประหนึ่งแมวเจอนักล่า ขนตั้งขึ้นขณะมองเฉิงฉือ กล่าวตะกุกตะกักว่า “จะ…เจ้าตามมาหาถึงที่นี่ได้อย่างไร”
เฉิงฉือไม่ตอบ หันไปมองทางโจวเสาจิ่น
นัยน์ตานั่นว่างเปล่าและเยือกเย็น มองไม่เห็นความรู้สึกใดๆ
เหตุใดท่านน้าฉือต้องมองนางเช่นนี้ด้วย
ขอบตาของโจวเสาจิ่นพลันรื้นชื้นขึ้นมา เปล่งเสียงอาดูรออกมาเสียงหนึ่งว่า “ท่านน้าฉือ”
“อะไรนะ” ดวงตาของเซียวเจิ้นไห่เบิกกว้าง มองเฉิงฉือด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจครั้งหนึ่ง แล้วก็มองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ทะ…ท่านน้าฉือ? เฉิงสี่เป็นน้าของเจ้า? นั่นก็หมายความว่า เขาเป็นน้องภรรยาของเจ้าเมืองเป่าติ้งโจวต้าเฉิงอย่างนั้นหรือ นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…”
เฉิงฉือแสยะยิ้มเย็น
เซียวเจิ้นไห่กระโดดพรวดขึ้นมา “ข้ารู้แล้วๆ เฉิงสี่ เจ้าเป็นบุตรหลานของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูที่จินหลิงนี่เอง! มิน่าๆ! ข้าเคยบังเอิญเจอเจ้าบริเวณใกล้ๆ กับเมืองจินหลิงถึงสี่ครั้ง! บรรพบุรุษของเจ้าคือคนก่อตั้งพรรคเจ็ดดารานั่น เพราะเหตุนั้นทั้งที่เจ้าอายุยังน้อย ทว่าจอมยุทธ์ในยุทธภพทั่วทั้งทางใต้ต่างเรียกขานเจ้าอย่างให้ความเคารพว่า ‘นายท่านสี่’…เหตุเพราะพรรคเจ็ดดารามีพื้นเพมาจากตระกูลขุนนาง…เพราะฉะนั้นหลายต่อหลายปีที่ผ่านมาตระกูลจอมยุทธ์เหล่านั้นจึงล้วนไม่กล้าทำให้เจ้าขุ่นเคืองและยอมให้เจ้ากระทำการตามอำเภอใจ…” ขณะที่เขากล่าว ก็หมุนร่างหมายจะกระโดดออกไปทางหน้าต่าง
โจวเสาจิ่นรู้สึกเพียงว่าตาลาย มีเสียงผ้าฉีกขาดดังมาให้ได้ยินที่ข้างหู เซียวเจิ้นไห่ดูประหนึ่งผีเสื้อตัวหนึ่งก็ไม่ปาน ถูกยิงด้วยลูกศรขนสีขาวหนึ่งดอกตรงไหล่ซ้าย แน่นิ่งอยู่บนขอบหน้าต่าง
“ลูกศรดาวตกของนายท่านสี่เฉิงแห่งพรรคเจ็ดดารา มิใช่แค่ข่าวโคมลอยจริงๆ!” หลังจากที่เซียวเจิ้นไห่มองลูกศรขนสีขาวบนหัวไหล่ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ทิ้งสายตาไว้บนดวงหน้าของเฉิงฉือโดยตลอด สีหน้าโหดเหี้ยม ดูเสมือนกับต้องการจะสลักภาพท่าทางของเฉิงฉือเอาไว้ในไขกระดูก ต้องการแก้แค้นเขาแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่มีท่าทีขี้เล่นหรือบ้าบิ่นของเมื่อครู่อีกเลยแม้แต่ครึ่งเดียว ประหนึ่งเสือร้ายในหุบเขา ที่จู่ๆ ก็เผยด้านดุร้ายอำมหิตของมันออกมาอย่างกะทันหัน
โจวเสาจิ่นตกใจจนหน้าซีดเผือด
“ท่านน้าฉือ!” นางพุ่งตัวเข้าหาเฉิงฉือ
ราวกับว่าทำเช่นนี้แล้ว จะช่วยปกป้องเขาจากความอาฆาตมาดร้ายของเซียวเจิ้นไห่ได้
เฉิงฉือใช้มืออีกข้างที่มิได้ถือคันธนูนั้นกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้อย่างไม่ลังเล
“ไม่ต้องกลัว!” เขามองเซียวเจิ้นไห่ด้วยสีหน้าเยือกเย็น ราวกับว่าไม่มีอะไรมาสั่นคลอนการตัดสินใจของเขาได้ ทว่ากล่าวอย่างอบอุ่นที่ข้างหูของโจวเสาจิ่นว่า “มีข้าอยู่ตรงนี้ เขาทำร้ายเจ้าไม่ได้ เด็กดี จงเชื่อฟัง ไปอยู่กับไหวซาน”
คำพูดหลอกล่อเพียงไม่กี่ประโยค ทว่าโจวเสาจิ่นกลับสัมผัสได้ถึงไอสังหารของเขา
นางสั่นด้วยความหวาดกลัวอย่างห้ามไม่อยู่ขณะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ เขา เมื่อครู่เขาไม่ได้ทำร้ายข้าเจ้าค่ะ…”
ถ้าหากปล่อยเซียวเจิ้นไห่ไปได้ก็ปล่อยเขาไปเถิด
แต่ถ้าหากไม่อาจปล่อยเขาไปได้ เช่นนั้นนางจะทำเป็นไม่เห็นอะไรเลยก็แล้วกัน
ขณะที่โจวเสาจิ่นกล่าวนั้นก็หลับตาลง
เฉิงฉือเข้าใจขึ้นมา
นัยน์ตาของเขามีความลังเลสายหนึ่งวาบผ่าน
เสาจิ่นเชื่อและศรัทธาในศาสนาพุทธ แม้แต่มดหนึ่งตัวยังไม่เหยียบ แล้วเขาจะสังหารคนต่อหน้านางได้อย่างไร!
เซียวเจิ้นไห่นั้นมาถึงทางตันแล้ว จะสังหารเขาเมื่อใดก็ย่อมได้ แล้วเหตุใดต้องทำให้เสาจิ่นหวาดกลัวด้วยเล่า
เฉิงฉือตบหลังของโจวเสาจิ่นเบาๆ
ทว่าในใจของเซียวเจิ้นไห่กลับเต็มล้นไปด้วยความตกตะลึงอย่างมหาศาล
เด็กสาวผู้นั้นขอความเมตตาจากเฉิงจื่อชวนให้เขา และเฉิงจื่อชวนก็มีอาการลังเลด้วย
เฉิงจื่อชวนที่จิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ดั่งหินผา ไม่น่าเชื่อว่าจะลังเลแล้ว!
ต้องรู้ว่า เขากับเฉิงจื่อชวนมิใช่ต่อสู้เพื่อประชันความแข็งแกร่งหรือชัยชนะ แต่เป็นอริที่ต้องการแก้แค้นอีกฝ่าย อยู่ในขั้นที่หากไม่ตายก็ไม่เลิกรา
ไม่ง่ายเลยกว่าเฉิงจื่อชวนจะจับตัวเขาได้ ทว่าตอนนี้เพราะเด็กสาวผู้นั้นแล้วกลับคิดจะเปลี่ยนใจ!
ประดุจสัญชาตญาณของสัตว์ร้าย เซียวเจิ้นไห่รีบคว้าโอกาสนี้เอาไว้ เมื่อก่อนมิใช่ว่าเขาไม่เคยประมือกับเฉิงจื่อชวนมาก่อน ทว่าที่ผ่านมาไม่เคยเหมือนครั้งนี้มาก่อน เขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารของเฉิงจื่อชวน หากมิใช่เพราะเขาใช้แรงกายที่มีทั้งหมดหลบลูกศรดอกนั้นของเขาล่ะก็ ลูกศรดอกนั้นคงจะยิงทะลุหน้าอกของเขาไปแล้ว
“เฉิงจื่อชวน ถือว่าเจ้าชนะ” เขากล่าวอย่างเกลียดชัง ทว่าในใจกลับตัดสินใจยอมแพ้แล้ว “ข้าเซียวเจิ้นไห่ผู้ไม่ครั่นคร้ามต่อสิ่งใด ไม่เคยติดหนี้บุญคุณผู้ใดมาก่อน ทว่าครั้งนี้กลับเป็นหนี้บุญคุณแม่นางน้อยผู้นี้ที่ช่วยชีวิตเอาไว้ มิใช่ว่าเจ้าอยากให้ข้าเป็นแพะรับบาปให้เจ้าหรอกหรือ ตอนนี้ข้าเซียวเจิ้นไห่ตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีอะไรตอบแทนแม่นางน้อยผู้นี้ได้ เพื่อเห็นแก่แม่นางน้อยผู้นี้ ครั้งนี้ข้าจะช่วยเหลือเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจของแม่นางน้อย…”
เปลี่ยนอาวุธให้กลายเป็นหยกและผ้าไหม[1] ช่างดียิ่ง!
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น มองเฉิงฉืออย่างกระตือรือร้น
เฉิงฉือย่นคิ้วขึ้น แสยะยิ้มอยู่ในใจ
ก็แค่ตัดสินใจยอมแพ้เพราะไร้ทางเลือกแล้วก็เท่านั้น ทว่ากลับถือดีมาต่อรองเงื่อนไขกับตน ยังดึงเสาจิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก
คนในยุทธภพนั้นหากถามถึงผู้นำตระกูลเซียวที่มีชื่อเสียงแล้วจะยอมจำนนต่อตัวเองอย่างกะทันหันได้อย่างไร ‘บุญคุณที่ช่วยชีวิตเอาไว้ ไม่มีอะไรตอบแทน’ ช่างเป็นข้ออ้างที่ดีจริงๆ!
เฉิงฉือเหลือบมองเซียวเจิ้นไห่อย่างดูแคลนครั้งหนึ่ง
คนหน้าหนาอย่างเซียวเจิ้นไห่หน้าแดง แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน