วันต่อมา เฉิงฉือมาเยี่ยมเยียนกล่าวทักทายหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากส่งเฉิงฉือออกไปแล้วกล่าวกับโจวเสาจิ่นสองพี่น้องว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้พบนายท่านสี่เฉิงที่นี่ เขาเองก็จะไปจิงเฉิงเช่นกัน พวกเราได้ร่วมทางไปด้วยกันพอดี เขาเดินทางไปมาระหว่างจิงเฉิงกับจินหลิงอยู่บ่อยๆ ระหว่างทางมีคนคอยช่วยดูแลสักคนหนึ่ง”
ความทรงจำที่โจวชูจิ่นมีต่อท่านน้าฉือผู้นี้มีเพียงเล็กน้อยอย่างผิวเผินเท่านั้น จึงเป็นธรรมดาที่นางจะรู้สึกว่ามีก็ได้ไม่มีก็ได้
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับลอบยินดีอยู่ในใจ ตกกลางคืนให้ซางมามาไปสืบเรื่องของเซียวเจิ้นไห่ “เขาไม่ต่อต้านท่านน้าฉือจริงๆ แล้วใช่หรือไม่”
เรื่องเมื่อวานนั้นซางมามาเองก็อยู่ด้วย นางคิดว่าในเมื่อนายท่านสี่พูดแล้วว่าเมื่อมีเวลาว่างจะเล่าเรื่องพรรคเจ็ดดาราให้คุณหนูรองฟัง เช่นนั้นบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังคุณหนูรองแล้ว
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตระกูลเซียวยอมจำนนทั้งตระกูลแล้ว มีเพียงเขาที่พาผู้อาวุโสของตระกูลเซียวสองสามท่านหนีออกมา นิสัยของนายท่านสี่นั้นคนในยุทธภพต่างทราบกันดี หากเจ้ามีจิตใจแน่วแน่ไม่รวนเร ร่วมทางไปด้วยกันจนถึงที่สุด ตายไปแล้วนายท่านสี่จะสร้างหลุมฝังศพให้เขาด้วยตัวเอง แต่หากเจ้าหักหลังกลางคันหรือระหว่างทางลอบให้ความช่วยเหลือผู้อื่นอย่างลับๆ เช่นนั้นก็คงไม่มีจุดจบที่ดีสักเท่าไรแล้ว”
โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “ไม่มีจุดจบที่ดีสักเท่าไรนั้นคืออะไรหรือ”
แน่นอนว่าซางมามาย่อมไม่บอกความจริงกับนาง
หากบอกความจริงไป เกรงว่าเด็กสาวที่เติบโตอยู่ในห้องหอมาตลอดอย่างนางนับจากนี้ไปเมื่อเจอนายท่านสี่คงจะหวาดกลัวจนเอาแต่หลบเลี่ยงเป็นแน่
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็เพียงต้องลงโทษอย่างหนักสักครั้งหนึ่ง อย่างการเชือดไก่ให้ลิงดูประเภทนั้นเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า เป็นสัญญาณบอกว่าเข้าใจแล้ว
ซางมามาจึงกล่าวต่อยิ้มๆ ว่า “เพราะฉะนั้นเซียวเจิ้นไห่จึงไม่น่าจะเล่นแง่อะไรอีกแล้วเจ้าค่ะ ต้องรู้ว่า คนในยุทธภพนั้นให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีเป็นที่สุด หากไร้ซึ่งศักดิ์ศรีแล้ว จะยังอยู่ในยุทธภพได้อย่างไร”
นอกจากนี้ยังมีตระกูลเซียวทั้งตระกูลเป็นตัวประกันให้เขาอยู่ เขาจึงไม่กล้าหักหลังนายท่านสี่
โจวเสาจิ่นยังคงเป็นกังวลใจอยู่เล็กน้อย กล่าวอย่างลังเลว่า “ต่อไปคงไม่มีผู้ใดมาสร้างความลำบากให้ท่านน้าฉือแล้วกระมัง”
ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่เตรียมตัววางมือเอาไว้นานแล้ว ไม่อย่างนั้นหลายปีมานี้ก็คงจะไม่ทยอยปล่อยตัวคนรับใช้ข้างกายออกไปเช่นนั้น ท่านยังจำหมิงเฮ่อได้หรือไม่ ฝีมือของนางก็ดีมาก เติบโตอยู่ที่ตระกูลฉินมาตั้งแต่เล็ก วิชาหมัดมวยที่นางเรียนก็เป็นวิชาลับเฉพาะของตระกูลฉิน ถูกนายท่านสี่จับให้แต่งงานกับนายท่านเจ็ดเสิ่นนานแล้ว ไม่อย่างนั้นข้างกายนายท่านสี่จะไม่มีคนได้อย่างไร นายท่านสี่จัดการเก็บกวาดเหล่าตระกูลจอมยุทธ์ของทางเหนือก็เริ่มจากตระกูลสองตระกูลนี้ ที่ผ่านมาพวกเราเคลื่อนไหวอยู่ทางใต้เท่านั้น” ขณะที่นางกล่าว ดวงตาฉายแววฉงนสนเท่ห์ออกมา เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดนายท่านสี่ถึงเปลี่ยนใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะไปตั้งรกรากอยู่ที่ใด”
โจวเสาจิ่นห่อไหล่อย่างห้ามไม่อยู่
หากมิใช่เพราะนางไปบอกว่าตระกูลเฉิงจะถูกลงโทษทั้งตระกูล เกรงว่าท่านน้าฉือก็คงจะเหมือนกับชาติก่อน ได้ออกไปใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีไปตั้งนานแล้ว ทว่าตอนนี้เพราะคำพูดเพียงหนึ่งประโยคของนางกลับต้องมาข้องเกี่ยวกับคนดุร้ายอำมหิตอย่างเซียวเจิ้นไห่เช่นนี้…นางทั้งตระหนกตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน ตระหนกตกใจที่เพราะคำพูดหนึ่งประโยคของนางเป็นเหตุให้เฉิงฉือเปลี่ยนการตัดสินใจและเสียสละตัวเองอย่างใหญ่หลวงขนาดนี้ และที่ดีใจคือเฉิงฉือเชื่อมั่นในตัวนางมากถึงเพียงนี้
นางไม่ถามเรื่องของเฉิงฉืออีก พูดคุยเจื้อยแจ้วกับพี่สาวและหยอกล้อเล่นกับโจวโย่วจิ่นไปตลอดทาง รู้สึกว่าไม่นานก็มาถึงจิงเฉิงแล้วอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากบ้านของตระกูลเลี่ยวและบ้านของตระกูลเฉิงล้วนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง พวกเขาจึงเข้าเมืองทางประตูตะวันตก
มีพ่อบ้านเข้าเมืองมาแจ้งเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
เลี่ยวเส้าถังรอพวกนางอยู่ที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งไม่ไกลจากประตูตะวันตก
เห็นเฉิงฉือมาพร้อมกับพวกนาง เขารีบก้าวออกไปคำนับ เปล่งเสียงเรียกคำหนึ่งว่า “ท่านน้า”
เฉิงฉือทำเพียงพยักหน้าให้เลี่ยวเส้าถัง เอ่ยขึ้นว่า “บ้านของข้าอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน ไม่ไกลจากบ้านของพวกเจ้านัก หากเจ้ามีเรื่องลำบากอะไรก็มาหาข้าได้!”
เลี่ยวเส้าถังขานรับคำอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ”
เฉิงฉือจึงแยกย้ายกับโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ตรงหน้าประตูตะวันตก ล่วงหน้าเข้าเมืองไปก่อน
โจวเสาจิ่นอยู่บนรถม้ามองเฉิงฉือจากไปอย่างเงียบๆ จากนั้นถึงได้กวาดสายตามองไปที่ประตูเมืองหินอ่อนแกะสลักเป็นระลอกคลื่นบานนั้น
นางมาถึงจิงเฉิงแล้วจริงๆ!
มาถึงจิงเฉิงเมืองที่นางใช้ชีวิตอยู่มาเกือบจะสิบปีนั้นแล้ว!
นางอยากไปดูวัดโจคัง ไปดูแถวต้าซิง ไปดูบ้านที่นางเช่าอยู่ในปีนั้น…
โจวเสาจิ่นปล่อยผ้าม่านลง ขอบตารื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
ชาติก่อน ชีวิตนางขมขื่นถึงเพียงนั้น แต่ชาตินี้นางได้พบท่านน้าฉือแล้วกลับหอมหวานยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นไม่สนใจคำทัดทานของเลี่ยวเส้าถัง ไปนั่งเบียดอยู่ในรถม้าคันเดียวกับหลี่ซื่อและโจวโย่วจิ่น ปล่อยให้พี่สาวกับพี่เขยได้พูดคุยส่วนตัวกันอย่างสะดวกขึ้นสักหน่อย
บ้านที่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวซื้อให้เลี่ยวเส้าถังกับโจวชูจิ่นตั้งอยู่ที่ซอยอวี๋ซู่ เป็นเรือนประสานสองวง มีสิบกว่าห้อง เหมาะกับให้โจวชูจิ่นสองสามีภรรยาอยู่ด้วยกันเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้มีหลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่นมาอยู่ด้วยจึงดูคับแคบไปเล็กน้อย โชคดีที่เจ้านายจริงๆ มีเพียงห้าถึงหกคนเท่านั้น พวกบ่าวไพร่ก็เบียดเสียดกันสักหน่อย บ้านหลังเล็กก็เลยดูคึกคักขึ้นมาไม่น้อย
หลี่ซื่อกับโจวโย่วจิ่นถูกจัดให้พักอยู่ที่เรือนปีกตะวันออก
ส่วนโจวเสาจิ่นถูกจัดให้พักอยู่ที่เรือนด้านหลัง
คนที่พาพวกนางไปที่ห้องพักเป็นสตรีแต่งงานแล้วจากจิงเฉิง รูปร่างสูงปานกลาง ผิวขาวอ้วนท้วน แต่งกายเรียบร้อย ตระกูลของสามีแซ่หยาง หยางเสียวจิ่วผู้เป็นบุตรชายเป็นบ่าวชายของเลี่ยวเส้าถัง หยางซานหลางผู้เป็นสามีเป็นคนขับรถม้าให้เลี่ยวเส้าถัง ส่วนนางรับผิดชอบดูแลเรือนชั้นใน เป็นคนวิ่งทำธุระต่างๆ ให้คนภายในบ้าน
นางพูดสำเนียงจิงเฉิง เจอหน้ากันเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อก็พรั่งพรูเล่าเรื่องของตัวเองออกมาจนหมดประหนึ่งเทเมล็ดถั่วออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ก็ไม่ปาน กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรองเพิ่งมาถึง หากมีอะไรที่ไม่ทราบก็สอบถามข้าได้ทุกอย่าง ข้าเติบโตอยู่ที่จิงเฉิงมาตั้งแต่เล็กเจ้าค่ะ” ต้อนรับผู้คนด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน