ซ่งมู่อยู่ด้วย ต่อให้บ่าวชายเด็กผู้นั้นจะมีความคิดอะไรก็ไม่กล้าพูดอยู่แล้ว!
เขาก้มศีรษะลง เอ่ยขึ้นว่า “บ่าวไม่ทราบขอรับ!”
“ช่างเป็นคนโง่เขลาผู้หนึ่งจริงๆ!” ซ่งเซินด่าว่า
ซ่งมู่รู้สึกแปลกใจขึ้นมา
นับตั้งแต่ที่น้องชายของเขาผู้นี้กลับมาจากไปรับท่านปู่ที่เมืองจิงโจวเป็นต้นมา ไม่ว่าจะอ้าปากหรือปิดปากล้วนเอ่ยถึง ‘พี่นางฟ้า’ ที่เมืองจินหลิงของเขาผู้นั้นอยู่เสมอ อย่างเช่น ญาติผู้พี่ที่ทุกคนต่างชื่นชมล้วนไม่งดงามเท่า ‘พี่นางฟ้า’ ของเขา ของว่างที่คนในบ้านทำล้วนไม่อร่อยเท่าของที่ ‘พี่นางฟ้า’ ของเขาทำ ท่านแม่พูดจาไม่อ่อนโยนน่าฟังเท่า ‘พี่นางฟ้า’ ของเขา…ยังข่มขู่เขาบ่อยๆ ว่า ท่านปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ ข้าจะไม่ให้ ‘พี่นางฟ้า’ ของข้าแต่งกับท่านแล้วอีกด้วย
ซ่งมู่ได้ยินได้ฟังจนหูชาไปหมด ทว่าไม่เคยเก็บมาใส่ใจ
เด็กน้อยจะไปรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีกัน ผู้ใดดีกับเขา เขาก็รู้สึกว่าคนผู้นั้นอะไรก็ดีไปหมด ผู้ใดไม่ดีกับเขา เขาก็รู้สึกว่าคนผู้นั้นไม่มีตรงส่วนไหนเป็นที่น่าพอใจ
แต่ครั้งนี้หลังจากที่ซ่งเซินกลับมาจากบ้านของ ‘พี่นางฟ้า’ ผู้นั้นกลับไม่เอ่ยถึงเรื่องจะยก ‘พี่นางฟ้า’ ผู้นั้นมาเป็นภรรยาของเขาอีกแล้ว…น้องชายของเขาเขารู้จักดีที่สุด พูดจาน่าฟังสักหน่อยก็คล้อยตามด้วยจิตใจที่หนักแน่น พูดจาไม่น่าฟังก็ต่อต้านขัดขืน การยอมประนีประนอมอย่างง่ายดายเช่นนี้ ดูไม่เหมือนนิสัยของน้องชายเลยนี่นา
เขาอดไม่ได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “ ‘พี่นางฟ้า’ ของเจ้าพูดอะไรกับเจ้าบ้างหรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจ…”
ซ่งเซินได้ยินแล้วก็ร้อง “เหอะ” เสียงเย็นครั้งหนึ่ง ชำเลืองมองเขาอย่างหยิ่งทะนงหนึ่งครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่บอกท่านหรอก!”
ซ่งมู่หัวเราะฮ่าดังลั่น กล่าวว่า “เป็นเพราะ ‘พี่นางฟ้า’ ของเจ้าไม่สนใจเจ้า เจ้าไม่รู้จะอธิบายกับข้าอย่างไร ฉะนั้นถึงได้กล่าวเช่นนี้กระมัง เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ถือเอาคำพูดไร้สาระของเจ้าก่อนหน้าเหล่านั้นมาคิดเป็นจริงเป็นจังหรอก”
ก่อนหน้านี้ซ่งเซินมักจะพูดอยู่ตลอดว่าโจวเสาจิ่นดีกับเขาอย่างไรบ้าง หากเขาออกหน้าเป็นพ่อสื่อให้ซ่งมู่ โจวเสาจิ่นจะต้องเอาไปไตร่ตรองอย่างใส่ใจแน่นอน
ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่ชายใช้กลยุทธ์ยุแยงเขา ซ่งเซินก็ยังคงติดกับดักอย่างช่วยไม่ได้ ตะโกนกล่าวเสียงดังว่า “ใครว่าเล่า! เป็นเพราะ ‘พี่นางฟ้า’ ถามข้าว่าเหตุใดข้าถึงอยากให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ของข้า ข้าจึงบอกไปว่า หากท่านมาเป็นพี่สะใภ้ของข้าก็จะได้มาอยู่บ้านของพวกข้า ‘พี่นางฟ้า’ บอกว่า…”
เขาบอกเล่าคำพูดทั้งหมดของโจวเสาจิ่นให้ซ่งมู่ฟังอย่างออกรสออกชาติ ยิ่งไปกว่านั้นยังกลัวว่าซ่งมู่จะคิดว่าโจวเสาจิ่นพูดจาเถรตรงเกินไป จึงเติมพริกเติมเกลือเพิ่มเข้าไปว่า “…ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบิดามารดาและการทาบทามจากแม่สื่อ การที่ข้าไปพูดกับนางเช่นนั้นไม่ถูกต้อง”
ซ่งมู่รู้สึกเลื่อมใสโจวเสาจิ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ซ่งเซินนั้นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยยอมรับว่าตัวเองมีความผิดมาก่อน
เขาพลันรู้สึกสนใจในตัวโจวเสาจิ่นขึ้นมาเป็นอย่างมากในทันทีทันใด
“เจ้าบอกว่า ‘พี่นางฟ้า’ ของเจ้าเป็นคุณหนูที่มาอาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูของตระกูลเฉิง” ซ่งมู่กล่าวยิ้มๆ “นางแซ่อะไร ปีนี้อายุเท่าไร แล้วมาจิงเฉิงได้อย่างไร”
ซ่งเซินเหลือบตามองซ่งมู่อย่างยียวนไปครั้งหนึ่ง ร้อง “หึ” ออกมาอย่างเย้ยหยันไปหนึ่งเสียง
ซ่งมู่จึงกล่าวขึ้นว่า “หากเจ้าบอกข้า ครั้งหน้าเวลาเจ้าไปเจอ ‘พี่นางฟ้า’ ของเจ้า ข้าจะทำให้หัวเข่าของเจ้าดูเหมือนถูกลงโทษให้นั่งคุกเข่ามา”
“จริงหรือขอรับ!” ดวงตาของซ่งเซินเป็นประกาย
ซ่งมู่ปรายตามองซ่งเซินครั้งหนึ่งไม่ได้กล่าวอะไร
ซ่งเซินหัวเราะอย่างขัดเขิน เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่เป็นสุภาพบุรุษ คำพูดย่อมมีน้ำหนัก ข้าไม่ควรไปสงสัยในตัวท่านพี่”
ซ่งมู่อดไม่ได้ลูบผมของซ่งเซินเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “นับว่าเจ้ารู้ความ ไม่อย่างนั้นจะลงโทษให้เจ้าคัด ‘คัมภีร์สามอักษร’ เพิ่มอีกสองจบ”
ซ่งเซินได้ยินแล้วก็ดึงแขนเสื้อของพี่ชายเอาไว้กล่าวออดอ้อนว่า “ท่านพี่ๆ ท่านพี่ผู้แสนดี ท่านให้ข้าคัดน้อยลงอีกสักสองจบเถิดนะขอรับ! ต่อไปข้าจะเชื่อฟังคำของท่านอย่างแน่นอน”
สำหรับซ่งเซินแล้วคำพูดนี้ก็เสมือนกับการดื่มน้ำ ซ่งมู่ยังคงนิ่งไม่ขยับ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอยากให้ท่านพ่อกลับมาแล้วลงโทษให้เจ้าไปคัดที่หอบรรพชน หรือว่าจะคัดอยู่ในห้องหนังสือของข้าที่นี่”
ซ่งเซินไม่กล่าวอะไรอีก ก้มศีรษะลงไปคัดอักษรอย่างเชื่อฟัง
ซ่งมู่ส่ายศีรษะยิ้มๆ อย่างอ่อนใจ
***
ทางด้านซอยอวี๋ซู่หยางมามาที่เฝ้าเวรยามอยู่กลับดีใจเป็นอย่างยิ่ง แอบกล่าวกับฝานมามาว่า “คิดไม่ถึงว่าสะใภ้ใหญ่และคุณหนูรองของพวกเราจะมีเกียรติถึงเพียงนี้ ฮูหยินซ่งถึงกับมาเยี่ยมพวกนางสองพี่น้องด้วยตัวเอง แต่เหตุใดข้าดูแล้วเหมือนกับว่าฮูหยินซ่งผู้นั้นจะมาเยี่ยมคุณหนูรองเป็นการเฉพาะเลยเล่า”
นางก็อายุประมาณหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าชุนหว่านและสาวใช้คนอื่นๆ เป็นเด็กอีกรุ่นหนึ่ง พูดคุยไม่ค่อยถูกคอนัก ส่วนหลี่มามาเป็นคนของหลี่ซื่อ หากกล่าวอะไรผิดไปแล้วไปเข้าถึงหูของหลี่ซื่อคงไม่ดีแน่ ซางมามาก็เป็นคนเฉียบแหลมเกินไป ดวงตาคู่นั้นราวกับมองทะลุเข้าไปในจิตใจของเจ้าได้ คิดไปคิดมา มีเพียงฝานมามาคนข้างกายของคุณหนูรองเท่านั้นที่ดีที่สุด ทั้งเป็นคนสุภาพและเป็นมิตร กระทำอะไรก็ระมัดระวัง พูดจาก็น่าฟัง เวลาว่างนางจึงมาพูดคุยเล่นกับฝานมามา
ฝานมามาไม่ชอบคนที่ชอบนินทาผู้อื่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “เหตุใดข้าถึงมองไม่ออกว่าเป็นเช่นนั้นเลยเล่า ฮูหยินซ่งกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ซอยจิ่วหรูมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ตอนที่ต้ากูไหน่ไนยังไม่ออกเรือนนั้นเคยให้การรับรองฮูหยินซ่งพร้อมกับคุณหนูรอง ที่ฮูหยินซ่งมาในครั้งนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะอยากมาตอบแทนน้ำใจให้กันสักครั้งหนึ่งก็เท่านั้นกระมัง”
หยางมามายังปรารถนาจะกล่าวอะไรอีก ทว่าทางด้านซอยซิ่งหลินและซอยซวงอวี๋ส่งพ่อบ้านมา กล่าวว่าได้รับเทียบที่โจวเสาจิ่นสองพี่น้องฝากเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่พวกเขาเพิ่งกลับมาจากซีย่วน ยังยุ่งอยู่กับงานราชการ จึงไม่เชิญสองพี่น้องไปรำลึกความหลังแล้ว ให้เลี่ยวเส้าถังไปรับประทานอาหารด้วยสักมื้อยามมีเวลาว่างก็พอ แล้วก็ส่งของขวัญมีราคาเป็นสองเท่าของพวกเขากลับมาให้เป็นการตอบแทน
โจวเสาจิ่นรู้ดีว่านี่เป็นเพราะทั้งสองครอบครัวต่างไม่มีนายหญิงของบ้านอยู่ที่นี่ด้วย แม้นพวกเขาจะเป็นผู้อาวุโส แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงญาติฝั่งมารดา เฉิงเซ่าและเฉิงจิงล้วนรับของขวัญของพวกนางเอาไว้แล้ว เวลามีเรื่องอะไรก็ให้เลี่ยวเส้าถังไปแจ้งสักคำก็พอ
เลี่ยวเส้าถังจึงหาเวลาว่างไปคารวะเฉิงจิงและเฉิงเซ่า
เฉิงจิงถามเลี่ยวเส้าถังว่าจะลงสนามสอบเมื่อใด ส่วนเฉิงเซ่าถามเขาว่าเมื่อไรจะได้มาช่วยเขารวบรวมการเขียน ‘แผนผังเมืองหลวง’…เลี่ยวเส้าถังกลับก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “ผู้อาวุโสทั้งสองท่านล้วนจิตใจดีและมีความรอบรู้ ชอบชี้แนะให้คำแนะนำคนรุ่นเด็กกว่า”
“เช่นนี้ดียิ่งเจ้าค่ะ!” โจวชูจิ่นเองก็คาดหวังให้สามีของตัวเองได้มีหน้ามีตาขึ้นมา ตอนที่สาวใช้ช่วยเขาล้างหน้าล้างตานั้นนางก็ยืนอยู่ข้างๆ คอยยื่นผ้าเช็ดหน้าอะไรต่างๆ ให้ เอ่ยขึ้นว่า “คนที่เข้าออกซอยซวงอวี๋เหล่านั้นล้วนเป็นจิ้นซื่อหรือไม่ก็จวี่เหรินกระมัง คุณชายใหญ่ไปแล้วน่าจะได้ทำเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน แต่อย่างที่มีคำกล่าวสืบต่อกันมาว่า คนที่ยืนหยัดจนผ่านพ้นความยากลำบากไปได้เท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้ มิใช่ว่าใครที่ไหนก็มีโอกาสเหมือนคุณชายใหญ่ที่ได้โอกาสไปช่วยรวบรวมการเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่งตั้งแต่อายุน้อยๆ เช่นนี้ คิดเสียว่าความยากลำบากพวกนั้นเป็นการจ่ายค่าเล่าเรียนส่วนตัวก็แล้วกันเจ้าค่ะ…”



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน