คำพูดของไหวซานกล่าวออกมาอย่างสุภาพ แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นย่อมไม่อาจเสียมารยาทได้ นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านน้าฉืองานยุ่ง เกรงว่าคงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ในช่วงนี้”
“ใช่แล้วขอรับ!” ไหวซานแลกเปลี่ยนบทสนทนากับนาง “โชคดีที่นายท่านของพวกข้ามิได้เป็นคนพิถีพิถันมากมายขนาดนั้น…”
ยังไม่พิถีพิถันอีกหรือ
โจวเสาจิ่นนึกถึงชามข้าวที่เฉิงฉือใช้กินข้าว จอกน้ำชาที่เขาใช้ดื่มน้ำ และกลิ่นน้ำหอมที่อยู่บนตัวเขา…รู้สึกว่าเฉิงฉือไม่ได้พิถีพิถัน เขาดูเหมือนใช้ทุกอย่างที่ดีที่สุดต่างหาก
ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ ชิงเฟิงก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เช็ดเหงื่อบนหน้าผากอย่างลวกๆ แล้วทำความเคารพโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง หันไปกล่าวกับไหวซานว่า “ท่านอา นายท่านสี่ต้องการดูภาพขุนเขาและลำธารที่นำกลับมาจากเมืองไคเฟิงเมื่อคราวก่อนภาพนั้น ข้าจำได้ว่าเก็บเอาไว้ในหีบที่ติดป้ายอักษร ‘หยิน’ หีบนั้น จำต้องให้ท่านไปเปิดหีบให้ขอรับ”
โจวเสาจิ่นไม่รอให้ไหวซานเอ่ยปากก็กล่าวยิ้มๆ ขึ้นก่อนว่า “ท่านรีบไปเถิด! ข้ารออยู่ที่นี่ก็ได้แล้ว”
ไหวซานมองโจวเสาจิ่นอย่างขออภัยครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ตอนข้าเข้าไปจะเร่งนายท่านสี่ให้อีกครั้ง”
เขามีเรื่องอยู่ในใจ จะมาคุยกับนางดีๆ ได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านเองก็มิต้องรีบร้อน หากนายท่านสี่ยังไม่ว่าง ท่านออกมาบอกข้าสักคำก็พอ ข้าค่อยมาเยี่ยมใหม่วันอื่นก็ได้”
ไหวซานขานรับคำยิ้มๆ ออกจากห้องรับแขกไปพร้อมกับชิงเฟิง
โจวเสาจิ่นจึงมองสำรวจภายในห้องไปเรื่อยๆ อยู่ครู่ใหญ่
ห้องรับแขกนี้ช่างไร้ซึ่งชีวิตชีวาเสียจริงๆ แม้แต่กาและจอกน้ำชาสักใบก็ไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระถางต้นไม้ดอกไม้สำหรับใช้ต้อนรับแขกเลย
หากให้นางมาตกแต่ง จะให้ดีที่สุดคือจะปูตั่งด้วยผ้าและหมอนอิงสีแดงสดใสชุดใหม่ ใช้ชุดน้ำชากระเบื้องเคลือบลายบุปผาและสกุณาสีสันสดใส และวางดอกไม้สดตามฤดูกาลเอาไว้บนโต๊ะน้ำชาสักสองสามกระถาง ห้องนี้ก็จะดูมีชีวิตขึ้นมาในทันใดแล้ว…
นางครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจ ถอยออกไปจนถึงปากประตูอย่างอดไม่ได้ อยากรู้ว่าความคิดของตัวเองดีหรือไม่
ทันใดนั้นผ้าม่านตรงประตูก็ถูกยกขึ้น มีคนเดินเข้ามา
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก
ชุนหว่านที่มาเป็นเพื่อนโจวเสาจิ่นรีบก้าวออกไปขวางอยู่ตรงหน้าโจวเสาจิ่น ตะโกนถามว่า “เป็นผู้ใดกัน ถึงกับเดินเพ่นพ่านเข้ามาในเรือนชั้นในได้!”
อีกฝ่ายเป็นคุณชายอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้หนึ่ง ยังพาบ่าวชายที่ยังเป็นเด็กมาด้วยผู้หนึ่ง เขาสวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหูโจวสีน้ำเงินไพลินลายเมฆมงคลสีม่วง เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าขาวกระจ่างใสก็พลันขึ้นสีแดงเรื่อ รีบก้มศีรษะลงโค้งคำนับให้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “มิทราบว่ามีแขกสตรีอยู่ในนี้ ล่วงเกินแล้ว ขอให้อาคันตุกะสตรีอภัยให้ด้วย ข้าจะออกไปบัดเดี๋ยวนี้”
ขณะที่กล่าว ก็หมุนกายเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วออกไป
บ่าวชายเด็กผู้นั้นกลับมองโจวเสาจิ่นด้วยความสงสัยใคร่รู้ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็อ้าปากกว้างขึ้นมาในทันที ดั่งเห็นอะไรที่น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่งก็ไม่ปาน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้วิ่งออกไปจากห้องรับแขกอย่างรวดเร็วดุจควัน
ชุนหว่านจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนู พวกเรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ! นายท่านสี่ทางด้านนี้ไม่มีนายหญิงดูแลเรื่องในบ้าน เกรงว่ามีแขกมาก็คงไม่ได้สังเกตอะไรขนาดนั้น จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่อาจจะมีคนเข้ามาชนคุณหนูอีก”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าหดหู่ไร้ชีวิตชีวา
แม้นท่านน้าฉือจะดีกับนาง แต่ก็ไม่ได้เก็บนางเอาไปใส่ใจ ไม่อย่างนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่านางมาแล้ว ทว่าคำบอกกล่าวตักเตือนสักคำก็ไม่มี ปล่อยให้แขกเดินเพ่นพ่านไปทั่วเช่นนี้
หัวใจของนางราวกับถูกบีบเค้น รู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาเล็กน้อย
ก็เหมือนกับที่ซอยจิ่วหรู ดูเหมือนกับว่าคนรับใช้ข้างกายเฉิงฉือก็น้อยเช่นนี้ พวกนางออกจากประตูมาแล้ว แต่กลับไม่เห็นคนเฝ้าเวรยามแม้แต่คนเดียว โจวเสาจิ่นจำต้องอาศัยประสบการณ์เดินไปยังทิศทางของเรือนใต้ที่น่าจะเป็นที่ตั้งของห้องหนังสือ
เมื่อออกจากประตูชั้นในแล้ว ในที่สุดพวกนางก็เห็นสตรีออกเรือนแล้วผู้หนึ่งเดินผ่านทางมา
โจวเสาจิ่นสอบถามจนชัดเจนแล้วว่านางเป็นบ่าวที่เฉิงฉือซื้อมาใหม่ จึงให้นางไปแจ้งข่าวไหวซาน
ดวงหน้าของบ่าวผู้นั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ มองนางนานครู่หนึ่งถึงได้ขานรับคำยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วไปหาไหวซาน
โจวเสาจิ่นไม่มีแม้แต่อารมณ์จะรอไหวซานอยู่ตรงนี้แล้ว นางเอ่ยกับชุนหว่านอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าจะไปรอในเกี้ยว เจ้ารั้งอยู่ตรงนี้เพื่อแจ้งไหวซานสักคำก็แล้วกัน!”
ชุนหว่านเองก็รู้สึกว่าวันนี้ซอยอวี๋เฉียนเสียมารยาทเกินไปแล้ว ลอบบ่นอยู่ในใจ ได้ยินเช่นนั้นย่อมเห็นด้วยอย่างยิ่งเป็นธรรมดา เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นคุณหนูไปนั่งในเกี้ยวก่อนเถิดเจ้าค่ะ! ยืนอยู่ตรงนี้หากมีคนพุ่งเข้ามาชนอีกคงไม่ดีแน่แล้ว”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า กำลังจะขึ้นเกี้ยว หลั่งเย่ว์ถือถาดน้ำชาวิ่งเข้ามา “คุณหนูรอง คุณหนูรองขอรับ! ท่านจะไปแล้วหรือขอรับ นายท่านสี่กลัวว่าท่านนั่งอยู่ที่นั่นลำพังแล้วจะเบื่อหน่าย จึงให้ข้าไปชงชามาให้ท่านเป็นพิเศษ ท่านดูสิขอรับ นี่เป็นชาต้าหงเผาชั้นเลิศที่ท่านชื่นชอบเป็นที่สุด เมื่อวานคนของสิบสามห้างใช้ม้าเร็วนำมาส่งให้ นายท่านสี่ยังไม่ได้ชิมก็ให้ข้าเอามาให้ท่านดื่มก่อนแล้วขอรับ…”
ต่อให้เป็นเช่นนั้น โจวเสาจิ่นก็ไม่ดีใจ
นางกล่าวด้วยอารมณ์หดหู่ว่า “ขอบใจเจ้าแล้วหลั่งเย่ว์ ช่วยกล่าวขอบคุณท่านน้าฉือแทนข้าด้วย เพียงแต่ว่าข้าออกมานานแล้ว พี่สาวกำลังรอข้ากลับไปอยู่ ข้าเองก็ต้องไปช่วยดูแลหลานชายตัวน้อยด้วย ข้าไม่รอท่านน้าฉือแล้วก็แล้วกัน อีกสองสามวันข้าค่อยมาเยี่ยมท่านน้าฉือใหม่”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างจริงใจ หลั่งเย่ว์จึงไม่อาจรั้งนางเอาไว้อีก ส่งนางขึ้นเกี้ยวแล้วกลับไปรายงานเฉิงฉือ
เฉิงฉือกำลังถกเรื่องการจัดการแม่น้ำเหลืองของเมืองไคเฟิงกับนายท่านผู้เฒ่าซ่งอยู่ ได้ยินแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้
เสาจิ่นมีนิสัยอ่อนโยนว่าง่าย เวลามาหาเขาล้วนไม่เคยรีบร้อนจากไปเลย ยามเขายุ่งอยู่นางก็มักจะหาอะไรให้ตัวเองทำไปก่อน แล้ววันนี้นางเป็นอะไรไป?
หรือว่ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรต้องการขอความช่วยเหลือจากเขา แต่รอไม่ได้เลยต้องหาวิธีอื่น?
แต่เมื่อวานตอนที่ซางมามามาที่นี่ก็ไม่ได้เอ่ยถึงอะไรเลยนี่นา
หรือว่าอาจจะมีเรื่องอะไรที่แม้แต่ซางมามาก็ไม่รู้?


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน