เด็กหนุ่มสุภาพเรียบร้อยมีการศึกษา รูปร่างสูงโปร่งดุจต้นไผ่ ท่วงท่าดูดีมีเสน่ห์
เฉิงฉืออดยิ้มออกมาไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้ากับท่านปู่ของเจ้าเป็นสหายที่ดีต่อกันแม้จะต่างวัยกันก็ตาม ต่างคนต่างจึงรู้จักนิสัยกันดี ฉะนั้นถึงได้ไม่ต้องพิถีพิถันอะไรกันมาก ซิ่วจือไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปี เป็นเจี้ยหยวนประจำปีที่แล้วของเหลี่ยงหู ไม่อาจดูเบาได้
ซิ่วจือเป็นชื่ออย่างสุภาพของเขา
ซ่งมู่หันไปประสานมือให้เฉิงฉือยิ้มๆ อย่างขออภัย
รอยยิ้มอบอุ่นและสุขุม
เฉิงฉือพลันตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง เดินไปหานายท่านผู้เฒ่าซ่ง
นายท่านผู้เฒ่าซ่งกำลังเอนกายอยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่างอ่านพงศาวดารเล่มหนึ่งอยู่ ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นเฉิงฉือ รีบลุกขึ้นมานั่งในทันที ถามขึ้นว่า “มีความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเมืองไคเฟิงแล้วใช่หรือไม่”
ตาเฒ่าหมกมุ่นเกินไปแล้ว
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีเรื่องง่ายดายขนาดนั้นที่ไหนกัน”
นายท่านผู้เฒ่าซ่งกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “เมื่อถึงมือของเจ้าแล้วข้ารู้สึกว่าอย่างไรก็ต้องมีทางออก” จากนั้นกล่าวอีกว่า “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
เฉิงฉือนั่งลงบนตั่งตรงหน้าเขา วางมือลงบนโต๊ะตัวเล็กบนตั่งเอียงกายถามเขาว่า “ซิ่วจือของพวกท่านหมั้นหมายหรือยัง”
“ยัง!” นายท่านผู้เฒ่าซ่งถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมหรือ”
เฉิงฉือไม่ตอบ แต่ยังคงถามต่อไปว่า “แล้วเคยมีการทาบทามกันด้วยวาจากับตระกูลใดแล้วหรือยัง”
นายท่านผู้เฒ่าซ่งถามขึ้นว่า “หรือว่าเจ้าคิดจะเป็นพ่อสื่อให้ซิ่วจือของพวกข้าอย่างนั้นหรือ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากเหมาะสมกัน มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้กัน”
นายท่านผู้เฒ่าซ่งรู้สึกสนใจขึ้นมา รีบถามขึ้นว่า “เป็นสตรีจากตระกูลใด เป็นคนเช่นไร แล้วเจ้าเป็นพ่อสื่อให้ตระกูลนั้นได้อย่างไร”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านเองก็เคยเจอมาก่อน คนที่เดินทางไปเขาผู่ถัวพร้อมกับข้าเมื่อคราวก่อน…”
นายท่านผู้เฒ่าซ่งพลันนึกขึ้นมาได้ ความยินดีบนใบหน้าจึงยิ่งเด่นชัดขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจำได้ เด็กสาวที่งดงามดุจไข่มุกล้ำค่าผู้นั้น เห็นแล้วทำให้คนยากจะลืมเลือนได้ ทำไมหรือ นางยังไม่ได้หมั้นหมายอีกหรือ ข้าจำได้ว่าเด็กสาวผู้นั้นเป็นหลานสาวของเจ้า เป็นหญิงสาวจากจวนใดจวนหนึ่งในตระกูลเฉิงของพวกเจ้าใช่หรือไม่”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นหลานสาวของจวนสี่ แซ่โจว บุตรสาวคนรองของโจวต้าเฉิงเจ้าเมืองเป่าติ้ง กำพร้ามารดาตั้งแต่เล็ก นางกับพี่สาวมาเติบใหญ่อยู่ที่ซอยจิ่วหรู ตอนเด็กๆ ได้รับการเลี้ยงดูอยู่กับท่านอาสะใภ้กวน พอโตขึ้นมาหน่อยก็มาอยู่กับมารดาของข้า พี่สาวของนางแต่งงานกับบุตรชายคนโตของตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียง ตอนนี้ติดตามบุตรชายคนโตของตระกูลเลี่ยวมาอยู่ที่จิงเฉิง เพิ่งจะคลอดบุตรชายได้ผู้หนึ่ง นางกับมารดาเลี้ยง และน้องสาวต่างมารดาเข้าเมืองหลวงมาเยี่ยมพี่สาวด้วยกัน จึงอยู่ที่จิงเฉิงด้วยพอดี…เพียงแต่ไม่ทราบว่าเหตุใดซิ่วจือของพวกท่านถึงยังไม่ได้หมั้นหมายหรือ”
ประวัติซับซ้อนเล็กน้อย แต่ว่าเฉิงฉือเป็นพ่อสื่อให้ อีกทั้งตนก็เคยเจอมาก่อน นายท่านผู้เฒ่าซ่งจึงโยนคำบอกเล่าประเภทที่ว่ากำพร้ามารดาตั้งแต่เล็กนั้นทิ้งไป ทอดถอนใจกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเองก็รู้ บุตรสะใภ้คนปัจจุบันของข้าเป็นภรรยาใหม่ของบุตรชายข้า ซิ่วจือเป็นบุตรชายของภรรยาคนก่อน เวลานั้นครอบครัวของข้ามีอำนาจน้อย ข้าจึงเลือกให้จิ่งหรานแต่งงานกับบุตรสาวคนโตของหวังจวี่เหรินที่เมืองจิงโจว หลังจากที่หวังซื่อแต่งเข้ามาแล้ว สองสามีภรรยารักใคร่กันดี ปกครองเรือนอย่างมีคุณธรรม กตัญญูต่อข้ายิ่ง ยังคลอดบุตรชายสี่คนและบุตรสาวอีกหนึ่งคน ไม่มีส่วนไหนที่ข้าไม่พอใจเลย เพียงแต่ว่าต่อมาหวังซื่อติดโรคระบาด เสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบปี ข้าจึงให้จิ่งหรานแต่งงานอีกครั้งกับบุตรสะใภ้คนปัจจุบัน…
…บุตรสะใภ้คนปัจจุบันก็ดียิ่ง นิสัยอ่อนโยน กตัญญูและเคารพผู้อาวุโส ดูแลบุตรชาย ให้ความเคารพสามี ทั้งครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกันดี เพียงแต่ว่าตระกูลหวังนั้น นับตั้งแต่ที่หวังจวี่เหรินเสียชีวิตไป ก็ค่อยๆ เสื่อมถอยลง ลุงคนโตของตระกูลหวังจึงไปเป็นพ่อค้า แต่เพราะมีข้ากับจิ่งหรานคอยช่วยเหลือ การค้าของเขาจึงเป็นรูปเป็นร่าง ทุกวันนี้เป็นถึงตระกูลลำดับต้นๆ ของเหลี่ยงหู ลุงคนโตของตระกูลหวังนั้นนอกจากภรรยาเอกแล้ว ยังมีอนุภรรยาอีกห้าถึงหกคน ทว่าบุตรชายทั้งสิบสี่คนกลับล้วนมิใช่เมล็ดพันธ์ของผู้คงแก่เรียน จึงอยากให้บุตรสาวคนโตหรือไม่ก็บุตรสาวคนรองที่เกิดจากภรรยาเอกแต่งเข้ามาสักคนหนึ่ง แม้นจิ่งหรานจะไม่พอใจ แต่เพื่อเห็นแก่ภรรยาคนก่อน จึงฝืนตอบตกลงไป…
…แต่ซิ่วจือกลับไม่ยินยอม…
…ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางยินยอม…
…บอกว่าเคยเห็นญาติผู้น้องทั้งสองคนมาก่อนแล้ว ล้วนมิใช่คนประเภทที่เขาชื่นชอบ…
…แต่ตระกูลหวังกลับยืนกรานจะให้บุตรสาวแต่งเข้ามาสักคนหนึ่งให้ได้ นอกจากนี้ยังระบุมาว่าต้องแต่งกับซิ่วจืออีกด้วย…
…หวงซื่อผู้นั้นเป็นมารดาเลี้ยง ทั้งกลัวว่าจะทำให้ซิ่วจือขุ่นเคืองใจและกลัวว่าจะทำให้จิ่งหรานไม่พอใจ จึงยืนอยู่ตรงกลางทำตัวเสมือนหญ้าบนกำแพงที่ลู่ไปตามแรงลม ไปๆ มาๆ เรื่องนี้จึงเป็นเหตุให้เรื่องแต่งงานของซิ่วจือต้องล่าช้าออกไป รวมถึงทำให้เรื่องแต่งงานของน้องชายอีกสามคนของเขาต้องล่าช้าตามไปด้วย บิดาของเขากำลังเป็นกังวลใจถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เมื่อสองวันก่อนสองพ่อลูกยังมีปากเสียงกันด้วยเรื่องนี้…ข้าถึงได้พาซิ่วจือออกมาเที่ยวเล่นถึงที่นี่ ให้จิตใจได้ผ่อนคลายสักหน่อย”
ลุงคนโตของตระกูลหวังผู้นั้นนอกจากภรรยาเอกแล้วยังมีอนุภรรยา มีบุตรชายทั้งจากภรรยาเอกและอนุรวมกันถึงสิบสี่คน…เห็นได้ชัดว่ากฎระเบียบปฏิบัติของตระกูลธรรมดาสามัญยิ่งนัก
นี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ซ่งจิ่งหรานไม่ฝืนบังคับให้บุตรชายของตัวเองแต่งกับบุตรสาวของตระกูลหวังอย่างจริงจังกระมัง ไม่อย่างนั้นในเมื่อซ่งจิ่งหรานตอบตกลงแล้ว เกรงว่าต่อให้ซ่งซิ่วจือผู้นั้นจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
ตระกูลซ่งซับซ้อนวุ่นวายเพียงนี้ เฉิงฉือรู้สึกลังเลใจขึ้นมาเล็กน้อย
ในทางกลับกัน นายท่านผู้เฒ่าซ่งมองแล้วกลับบังเกิดความคิดอยากจะสู่ขอขึ้นมา
มองจากมุมของเขาแล้ว หญิงสาวที่ได้รับการเลี้ยงดูมาจากตระกูลใหญ่ชั้นสูงนั้น ไม่เคยได้รับความยากลำบากในชีวิตมาก่อน ส่วนใหญ่จึงมีนิสัยอ่อนโยน ใจกว้างและมีจิตใจดีงาม โดยเฉพาะคนที่ได้รับความโปรดปรานจากผู้อาวุโสเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือความประพฤติล้วนไม่มีทางย่ำแย่อย่างแน่นอน
อย่างหวงซื่อเองก็เป็นคนเช่นนั้นเหมือนกัน
แม้นนางจะเป็นภรรยาคนใหม่ แต่ก็ปฏิบัติกับลูกเลี้ยงทั้งหลายอย่างเป็นมิตร ดูแลพวกเขาอย่างจริงใจ
นี่ถึงจะเป็นบุตรสะใภ้ที่ตระกูลซ่งของพวกเขาต้องการ
“ข้าว่าไม่สู้เอาเช่นนี้ดีกว่า” นายท่านผู้เฒ่าซ่งเปลี่ยนใจ บังเกิดความคิดขึ้นมาในทันใด “ข้ายังจะอยู่ที่นี่อีกสองวัน คุณหนูตระกูลโจวก็มิใช่ใครอื่น ถึงเวลาให้พวกเขาทั้งสองคนได้ลองพบหน้ากัน หากต่างฝ่ายต่างก็พึงพอใจกันค่อยเอ่ยถึงเรื่องหมั้นหมายกันก็ยังไม่สาย เรื่องเกี่ยวดองกันนี้ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของทั้งสองตระกูล ถ้าหากคู่สามีภรรยาไม่มีความสุข ทั้งสองตระกูลก็ไม่อาจเป็นสุขได้ บิดามารดาก็จะต้องเป็นกังวลใจไปด้วย ตระกูลที่เป็นมิตรต้องกลายเป็นศัตรูกัน คงไม่ดีนัก”
เฉิงฉือคิดไม่ถึงว่านายท่านผู้เฒ่าซ่งจะมีความคิดเปิดกว้างถึงเพียงนี้
นอกจากนี้ซิ่วจือผู้นั้นก็เป็นคนที่มีความคิดผู้หนึ่ง…
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ได้ อีกสองวันข้าจะเรียกหลานรองตระกูลโจวเข้ามาพูดคุย ให้พวกเขาทั้งสองคนได้พบหน้ากันสักครั้ง…” เมื่อพูดออกจากปากไปแล้ว พลันรู้สึกปวดไปทั้งหัวใจ แม้แต่นายท่านผู้เฒ่าซ่งยังดูออกว่าเขาไม่ปกติ ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“เปล่าขอรับ” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “อาจจะเป็นเพราะเมื่อครู่ก้มหน้าคำนวณตัวเลขนานไปหน่อย ตอนนี้เลยรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย”
ตอนที่เฉิงจื่อชวนไปขึ้นเขากับเขานั้นเดินเร็วประหนึ่งติดปีก ร่างกายของเขามิใช่ว่าแข็งแรงประหนึ่งสังหารพ่อเสือให้ตายได้มาโดยตลอดหรอกหรือ


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน