พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาจริงๆ
โจวชูจิ่นมองโจวเสาจิ่นด้วยความสงสัยพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “นี่เจ้าเพิ่งจะกลับมาถึงบ้าน คนยังไม่ทันได้นั่งนิ่งเลยด้วยซ้ำ เหตุใดท่านน้าฉือถึงเร่งมาหาอย่างกะทันหันได้เล่า”
หากมีเรื่องด่วนอะไร เมื่อครู่คงจะให้เสาจิ่นอยู่รอไปแล้ว แต่ถ้าไม่มีเรื่องด่วนอะไร…หรือเขากลัวว่าเสาจิ่นจะขุ่นเคืองใจ จึงเร่งตามมาอธิบายกับเสาจิ่นอย่างนั้นหรือ
เมื่อคิดขึ้นมาเช่นนั้น โจวชูจิ่นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
นางคิดเช่นนั้นไปได้อย่างไร
นี่ออกจะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อยแล้วกระมัง
ไม่ต้องพูดถึงว่าเฉิงฉือเป็นน้าของพวกนาง ต่อให้เป็นสามี ก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องมาอธิบายเพราะเรื่องเช่นนี้
นี่นางคงอยู่เดือนจนเลอะเลือนไปแล้ว เรื่องไร้สาระอะไรก็ล้วนกล้าคิดออกมาได้
โจวชูจิ่นรีบสั่งการสาวใช้เด็กว่า “รีบไปเชิญนายท่านฉือไปนั่งที่โถงรับรอง บอกว่าคุณหนูรองจะเร่งตามไปในไม่ช้า” จากนั้นเอ่ยเร่งโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ารีบไปดูสักหน่อยว่ามีเรื่องอะไรกันแน่” ทั้งยังกล่าวติเตียนด้วยว่า “เจ้าเองก็เหมือนกัน ในเมื่อท่านน้าฉือให้เจ้ารอ เจ้าก็ควรจะรอสักครู่หนึ่ง! ท่านน้าฉือต้องมีเรื่องอะไรอยากคุยกับเจ้าเป็นแน่ เจ้าวิ่งกลับมาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ เป็นเหตุให้ท่านน้าฉือต้องเดินทางมาที่นี่เป็นการเฉพาะ นิสัยนี้ของเจ้าต้องปรับเปลี่ยนสักหน่อยถึงจะถูก มีเหตุผลอะไรให้ผู้ใหญ่ต้องมาอดทนกับเด็กกัน อีกอย่าง ท่านน้าฉือดีกับพวกเราเป็นอย่างยิ่ง เจ้าต้องสำนึกหนี้บุญคุณของเขาไว้ในใจถึงจะถูก…”
ก่อนหน้านี้โจวเสาจิ่นกลัวว่าพี่สาวจะโกรธเฉิงฉือ จึงไม่คิดจะเล่าเรื่องที่มีบุรุษจากข้างนอกมาเจอนางตอนที่นางรอเฉิงฉืออยู่ในห้องรับแขกของเฉิงฉือให้พี่สาวฟัง ตอนนี้พี่สาวตำหนิว่านางไม่รู้ความ นางจึงไม่รู้จะเริ่มพูดถึงมันอย่างไรดี ได้แต่ยืนฟังอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าแดงเรื่อ เป็นหลี่ซื่อที่ยกข้าวหมากไข่ลวกเข้ามากล่าวยิ้มๆ ว่า “ต้ากูไหนไนเองก็จริงๆ เลย ด้านหนึ่งก็บอกว่าให้คุณหนูรองรีบไปพบนายทานสี่ฉือ แต่อีกด้านหนึ่งกลับดึงรั้งให้คุณหนูรองพูดคุยอยู่ที่นี่ ทำให้คุณหนูรองจะไปก็ไม่ได้ จะไม่ไปก็ไม่ได้…”
โจวชูจิ่นได้ยินเช่นนั้นก็เห็นโจวเสาจิ่นมีท่าทางอย่างยอมจำนน จึงหัวเราะคิกออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ รับข้าวหมากไข่ลวกจากมือของหลี่ซื่อมา กล่าวขึ้นว่า “รีบไปเถิด! แล้วกลับมาบอกข้าด้วยว่าท่านน้าฉือมาด้วยเรื่องอะไร”
โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับได้หลุดพ้นออกจากสถานการณ์อันตึงเครียด ขานรับคำอย่างลวกๆ ไปครั้งหนึ่ง แล้วไปที่ห้องโถงรับรอง
เฉิงฉือยืนเอามือไพล่หลังมองสำรวจแจกันกระเบื้องเคลือบลายภาพทิวทัศน์หลังหิมะโปรยปรายที่อยู่บนตั่งตัวยาวในห้องโถงรับรองคู่นั้น
ภายในห้องโถงมีลำแสงสลัวเล็กน้อย ร่างสูงโปร่งของเขาตั้งตรง ท่วงท่าสง่าดูสบายๆ งดงามประหนึ่งภาพวาดรูปหนึ่งก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นมองจนฝีเท้าหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นถึงได้เดินเข้าไปในห้องโถงรับรอง
เฉิงฉือได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็หมุนกายกลับมา ยิ้มพร้อมกับเอ่ยกับนางว่า “แจกันกระเบื้องเคลือบคู่นี้เป็นฝีแปรงของผู้ใดหรือ ภาพทิวทัศน์หลังหิมะโปรยปรายภาพนี้วาดได้งดงามยิ่ง! ข้าดูแล้วไม่ค่อยเหมือนเครื่องกระเบื้องเคลือบของทางราชสำนัก”
น้ำเสียงสงบของเขาเผยความเป็นกันเองออกมาหลายส่วน เสมือนกับว่าพวกเขายังคงอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก กล่าวเสียงเบาว่า “เป็นสินติดตัวของพี่สาว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าได้มาจากที่ใดเหมือนกันเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าข้าเองก็มีอยู่หนึ่งคู่ เพียงแต่ว่าเก็บเอาไว้ที่บ้านถนนผิงเฉียวที่จินหลิง หากท่านน้าฉือชื่นชอบ ข้าจะให้คนนำออกมาและส่งไปให้ที่ซอยอวี๋เฉียน”
เด็กน้อยยังโกรธอยู่นี่นา!
แล้วครั้งนี้โกรธด้วยเรื่องใดเล่า
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแทนกลางห้องโถงรับรอง สายตาที่เขาใช้มองนางนั้นมีความเอาอกเอาใจปนอยู่ด้วยสายหนึ่งวาบผ่าน เป็นความเอาอกเอาใจที่ไม่ใช่แค่เขาที่ไม่รู้สึกตัว แม้แต่โจวเสาจิ่นเองก็ไม่รู้สึกตัวด้วยเช่นกัน เอ่ยขึ้นว่า “มิต้องทำเช่นนั้นหรอก หากเจ้ามอบให้ข้าแล้ว ตอนที่เจ้าออกเรือนจะทำอย่างไร เดือนสิบเอ็ดของปีนี้เจ้าก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้วมิใช่หรือ”
ออกเรือน! ออกเรือนอีกแล้ว!
เหตุใดเขาถึงเอาแต่คิดเรื่องจะให้นางออกเรือนอยู่ตลอดด้วย!
นางไม่ได้กินของของเขา ไม่ได้ดื่มของของเขา แล้วก็มิได้ไปขัดขวางไม่ให้เขาไปหาภรรยาเสียหน่อย แล้วเหตุใดเขาต้องมายุ่งเรื่องที่นางจะออกเรือนหรือไม่ออกเรือนด้วย
ตนถูกบุรุษจากที่อื่นเข้ามาพบเห็นเข้าที่เรือนของเขาก็ไม่เห็นเขาจะว่าอะไรสักประโยค ตอนนี้กลับทำราวกับว่าไม่พอใจนาง มาพูดเรื่องออกเรือนไม่ออกเรือนอะไรนั่นขึ้นมาอีก
โจวเสาจิ่นค่อนขอดอยู่ในใจ ทว่ากลับลืมไปว่าบนศีรษะของตนยังประดับมงกุฎดอกไม้ทำจากทองฝังอัญมณีล้ำค่าที่เฉิงฉือมอบให้นางเมื่อตอนปีใหม่เอาไว้อยู่
นางรับน้ำชาที่สาวใช้ยกเข้ามาให้ด้วยอาการขุ่นเคืองเล็กน้อยพร้อมกับวางแรงๆ ลงไปตรงหน้าเฉิงฉือ
ไอ้โหยว!
ถึงกับชักสีหน้าใส่เขาแล้ว!
เฉิงฉือเห็นสาวใช้ของตระกูลเลี่ยววางของว่างเสร็จก็ถอยออกไปอย่างรู้ความ อดไม่ได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ข้าทำเรื่องผิดต่อสวรรค์ขัดต่อหลักการอะไรอย่างนั้นหรือ ถึงทำให้เจ้าเคืองโกรธได้ขนาดนี้! ข้าทิ้งนายท่านผู้เฒ่าซ่งไว้ที่ห้องหนังสือและรีบเร่งมาที่นี่แต่ก็ไม่อาจทำให้เจ้าคลายความโกรธลงได้…” ขณะที่เขากล่าว ก็มองสำรวจนางพร้อมกับเอ่ยเย้านางไปด้วยว่า “ข้าว่าตั้งแต่เจ้ามาที่จิงเฉิงก็ไม่เห็นเจ้าจะสูงขึ้นเลย ทว่าอารมณ์กลับเหมือนพลุเหมือนปะทัด ไม่จุดไฟแต่ก็ปะทุขึ้นมาได้…”
“ผู้ใดเหมือนพลุเหมือนปะทัดกันเจ้าคะ” ได้ยินเฉิงฉือบอกว่าทิ้งนายท่านผู้เฒ่าซ่งไว้ที่ห้องหนังสือและเร่งมาหา ความยินดีที่อัดแน่นอยู่ในใจก็เอ่อล้นออกมาทางดวงตาและใบหน้าอย่างที่ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างแง่งอนว่า “เห็นๆ อยู่ว่าปีนี้ข้าสูงขึ้นตั้งสามชุ่น[1]…”
หน้าอกหน้าใจก็ขยายใหญ่ขึ้นจนรู้สึกปวดเล็กน้อย ชุดชั้นในที่เพิ่งตัดมาเมื่อหน้าหนาวของปีที่แล้วล้วนรัดแน่นจนนางหายใจแทบไม่ออก สวมใส่ไม่ได้อีกแล้ว…ฝานหลิวซื่อและพี่สาวต่างก็บอกว่านางโตเป็นสาวแล้ว
เฉิงฉือพยักหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง เอ่ยลากเสียงยาวว่า “อ้อ สูงตั้งสามชุ่นแล้ว!”
แต่เมื่อคนได้ยินแล้วกลับทำให้คนนึกถึงคำว่า “สูงแค่สามชุ่น” คำนี้แทน!
รวมถึงต่อให้ปีนี้โจวเสาจิ่นจะสูงขึ้นสามชุ่น แต่ก็สูงเพียงคางของเฉิงฉือเท่านั้น…
“ท่านน้าฉือ!” โจวเสาจิ่นโกรธจนกระทืบเท้าไม่หยุด
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าดังลั่น กว่าครู่ใหญ่ถึงได้หยุดหัวเราะลง ถามนางด้วยดวงตาเปื้อนยิ้มว่า “หายโกรธแล้วใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงด้วยความอับอาย
ในเมื่อท่านน้าฉือล่อหลอกนางเช่นนั้น…นางจึงรู้สึกหอมหวานอยู่ในใจ ไหนเลยจะยังมีอาการไม่พอใจหลงเหลืออยู่อีก
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับถามนางเสียงอบอุ่นว่า “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าเคืองโกรธด้วยเรื่องอันใด”
โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวขึ้นอย่างอับอายว่า “ตอนที่ท่านน้าฉือให้ข้ารออยู่ในห้องรับแขกนั้น ข้า…ข้าได้พบกับคนจากข้างนอกเข้าเจ้าค่ะ…”
หรือว่าจะเป็นซ่งซิ่วจือ?
วันนี้มีเพียงนายท่านผู้เฒ่าซ่งสองปู่หลานเท่านั้นที่มาเยี่ยมเขา!



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน