โจวชูจิ่นทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ ตื่นเต้นจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
นางคิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะเป็นพ่อสื่อให้โจวเสาจิ่น ยิ่งไม่คาดคิดว่าเฉิงฉือจะเลือกตระกูลที่ดีถึงเพียงนี้ให้โจวเสาจิ่นด้วย
นับตั้งแต่ที่นางรู้ว่าเฉิงสวี่หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่น นางก็แอบร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว รู้สึกอยู่ตลอดว่าเรื่องราวในโลกใบนี้ช่างอยุติธรรมต่อน้องสาวยิ่งนัก เห็นๆ กันอยู่ว่าเฉิงสวี่ผู้นั้นกระทำการหยามเกียรติน้องสาวของนาง สุดท้ายไม่เพียงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังไปสู่ขอสตรีจากตระกูลชั้นสูงอย่างมีความสุขอีกด้วย แต่น้องสาวนางกลับต้องกล้ำกลืนฝืนทนคำดูถูกออกมาจากเมืองจินหลิง
และไม่รู้ว่าคนที่ซอยจิ่วหรูจะแอบนินทาว่าร้ายน้องสาวลับหลังอย่างไรบ้าง
นางฝันให้น้องสาวได้แต่งงานกับตระกูลสักตระกูลที่ดียิ่งกว่า ให้พวกเขาได้รู้ว่าน้องสาวของนางเดินได้อย่างมั่นคง นั่งได้อย่างหลังตรง สง่างามและดียิ่งกว่าผู้ใด ไม่มีตระกูลเฉิงแล้ว ก็ยังคงแต่งงานกับตระกูลใหญ่ตระกูลโตได้เช่นกัน มีชีวิตที่สามีเป็นที่เคารพยกย่องภรรยาจึงได้รับเกียรติ มีบุตรชายมีชื่อเสียงเลื่องลือมารดาจึงได้รับการเทิดทูนเช่นนั้นได้เหมือนกัน
ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่เรื่องที่ว่าซ่งซิ่วจือผู้นั้นคือเจี้ยหยวนของเหลี่ยงหูของปีก่อนและเป็นบุตรชายคนโตของขุนนางใหญ่ ก็ควรจะไปดูตัวสักหน่อยแล้ว
นางรีบเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านน้าฉืออยากให้ข้าเขียนจดหมายไปบอกท่านพ่อหรือไม่เจ้าคะ”
ตระกูลโจว ตระกูลเฉิง และตระกูลซ่งล้วนเป็นตระกูลบัณฑิต แม้นกล่าวว่าเฉิงฉือและนายท่านผู้เฒ่าซ่งมีความประสงค์จะให้เกี่ยวดองกัน แต่โจวเจิ้นจะคิดอย่างไร และซ่งจิ่งหรานจะคิดอย่างไร หาไม่แล้วหากฝ่ายหนึ่งตอบตกลงทว่าอีกฝ่ายหนึ่งกลับไม่พึงพอใจ ก็อาจทำให้คนที่เป็นพ่อสื่อขุ่นเคืองใจได้ ระหว่างเรื่องนี้จึงต้องมีคนมาทำหน้าที่เป็นคนกลางสักคนหนึ่ง ต่อให้ปฏิเสธ ก็ต้องหาเหตุผลที่ฟังขึ้นไร้ข้อกังขามาสักเหตุผลหนึ่ง อย่าได้ทำให้พ่อสื่อคนกลางขุ่นเคืองใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสถานะและตำแหน่งของคนเป็นพ่อสื่อคนกลางเหล่านี้มิได้ด้อยไปกว่าทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายแล้ว ตระกูลทั้งสองฝั่งจึงยิ่งต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
เฉิงฉือเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้อย่าเพิ่งบอกบิดาของเจ้าจะดีกว่า” เขาเล่าเรื่องของตระกูลซ่งให้โจวชูจิ่นฟัง และยังกล่าวอย่างเป็นกังวลเล็กน้อยว่า “หากมิใช่ว่าซ่งซิ่วจือมีความโดดเด่นมากพอล่ะก็ ด้วยเรื่องภายในบ้านที่วุ่นวายเหล่านั้นของพวกเขาแล้ว ข้าไม่มีทางมีความคิดเช่นนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงอยากให้เสาจิ่นลองไปดูตัวดูก่อน หากตัวนางเองยินดี และซิ่วจือก็ชอบพอเช่นกัน เมื่อนางแต่งเข้าไป ต่อให้มีญาติที่ตัดไม่ขาดอย่างตระกูลหวัง แต่เมื่อมีสามีคอยปกป้อง คนตระกูลหวังนั่นก็เป็นได้เพียงแมลงวันที่บินมาสร้างความรำคาญต่อหน้าเสาจิ่นเป็นครั้งคราวตัวหนึ่งเท่านั้น”
โจวชูจิ่นเห็นเฉิงฉือให้ความสำคัญกับน้องสาวของตัวเอง อีกทั้งยังบรรยายได้อย่างออกรสเช่นนั้นแล้ว ก็หัวเราะคิกออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าล้วนอ่อนโยนขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือเป็นบุรุษ เกรงว่าคงไม่ค่อยได้สนใจเรื่องภายในบ้านนัก ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นตระกูลที่ดูดีอย่างไร ก็ล้วนแล้วแต่มีคัมภีร์ที่ยากจะอ่านของตัวเองกันทั้งนั้น กล่าวอย่างไม่ปิดบังท่าน ตอนนี้ท่านคงเห็นว่าข้าได้แต่งงานเป็นอย่างดีกระมัง แต่เรื่องของตระกูลเลี่ยวนั้นหากได้พูดออกมาต้องทำให้ท่านปากอ้าตาค้างเป็นแน่เจ้าค่ะ” นางหน้าแดงด้วยความอับอาย เล่าเรื่องที่พ่อสามีรีดไถเงินทองของพวกเขาให้เฉิงฉือฟัง “…สถานการณ์อย่างตระกูลซ่งนี้ถือได้ว่าดีแล้วเจ้าค่ะ อย่างน้อยนายท่านผู้เฒ่าซ่งและขุนนางใหญ่ซ่งล้วนเป็นคนที่มีความคิดเปิดกว้าง มิได้ปิดตาทั้งสองข้างเนื่องด้วยสาเหตุจากความโปรดปรานรักใคร่ ฮูหยินซ่งเป็นคนอ่อนโยนจิตใจกว้างขวาง ซ่งซิ่วจือผู้นั้นก็เป็นบุตรชายคนโตที่ประสบความสำเร็จมีอนาคต เป็นคนที่นายท่านผู้เฒ่าซ่งดูแลมาด้วยตัวเอง หากเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จจริง เสาจิ่นทั้งไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้แม่สามีชิงชัง และไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้พ่อสามีไม่ชอบ อีกทั้งยังเป็นสามีภรรยาคู่ผูกผมที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกด้วย ยังจะมีการเกี่ยวดองที่ดีมากไปกว่านี้อีกหรือเจ้าคะ” กล่าวจบ นางก็เอ่ยเย้าขึ้นว่า “มีคำกล่าวหนึ่งบอกไว้ว่าความรักลึกซึ้งไม่อาจคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ตามความเห็นของข้าแล้ว พระพุทธองค์ให้พวกเรามายังโลกใบนี้ ก็เพื่อให้พวกเรามารับความลำบาก หากมีเรื่องอะไรที่สวยงามสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สิ่งนั้นย่อมไม่อยู่ยืนยาว ก็เพียงมีครอบครัวที่เกินธรรมดาสามัญอย่างที่ควรจะเป็นครอบครัวหนึ่งเท่านั้น บางทีนี่อาจจะเป็นกรรมของเสาจิ่น เมื่อผ่านพ้นกรรมนี้ไปแล้ว ชีวิตของเสาจิ่นก็จะได้งดงามและสงบสุขแล้วเจ้าค่ะ”
สามีภรรยาคู่ผูกผมที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน?
เฉิงฉือฟังแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย ครุ่นคิดว่า ก็นี่เป็นวัตถุประสงค์ของเขาเองมิใช่หรือ
ช่วยหาตระกูลดีๆ ที่เป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมาให้โจวเสาจิ่น ได้แต่งงานกับสามีหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันและสุภาพอ่อนโยนดุจหยกสักคนหนึ่ง ได้ใช้ชีวิตของตัวเองไปอย่างมีความสุข รอให้เมื่อตื่นขึ้นมาจากฝันกลางดึก หากว่านึกถึงเขาขึ้นมา จะได้เม้มปากกลั้นยิ้ม ลอบหัวเราะตัวเองที่ตอนนั้นช่างโง่เขลายิ่งนักมิใช่หรือ
เฉิงฉือกดข่มความไม่พอใจสายนั้นเอาไว้ในใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไรจริงๆ ดังนั้นจึงมาปรึกษาเจ้า ข้าอยากให้เสาจิ่นลองไปดูตัวดูก่อน ถ้าหากถูกใจ ค่อยไปคุยกับขุนนางใหญ่ซ่งและบิดาของเจ้าก็ยังไม่สาย จะได้ไม่วุ่นวายจนทุกคนทราบเรื่องแล้วกระพือออกไปเป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่ ทำให้เสาจิ่นถูกนินทาว่าร้ายได้”
เช่นนี้ช่างดียิ่งนัก!
โจวชูจิ่นมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของโจวเสาจิ่นเป็นอย่างยิ่ง
บุรุษสิบคนที่ได้เห็นน้องสาว ก็มีถึงเก้าคนแล้วที่อาจจะตกหลุมรักน้องสาวของนาง
คนที่เกิดมามีหน้าตางดงามก็มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ
รอให้ต่างคนต่างเข้ากันได้ดีแล้ว ด้วยนิสัยอ่อนโยนว่าง่ายของเสาจิ่นแล้ว ระหว่างสามีภรรยาย่อมจะให้เกียรติซึ่งกันและกัน รักใคร่กลมเกลียวกันดั่งฉินและเซ่ออย่างแน่นอน
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งพึงพอใจ ลุกขึ้นหมายจะคุกเข่าลงโขกศีรษะให้เฉิงฉือสักครั้ง กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “ท่านน้าฉือ ขอบคุณท่านยิ่งนักที่เป็นพ่อสื่อให้เสาจิ่น จิตใจเกื้อหนุนที่ท่านมีให้เสาจิ่นนั้น ข้าจะซาบซึ้งไปตลอดชีวิต…”
เฉิงฉือรีบหยุดนางเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “รอให้เรื่องนี้สัมฤทธิผลแล้วเจ้าค่อยคุกเข่าโขกศีรษะให้ข้าสักครั้งหนึ่งก็ยังไม่สาย”
ทว่าในใจกลับเอ่ยว่า หากเปลี่ยนเป็นข้ามาสู่ขอเสาจิ่นแทน เกรงว่าเวลานี้เจ้าคงจะกระโดดลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าข้าแล้วกระมัง!
ในใจของเฉิงฉือทั้งขมฝาดทั้งฝืดเฝื่อน
ถึงเวลานั้นเขาก็เป็นได้เพียงท่านน้าของเสาจิ่นเท่านั้นแล้ว
โจวชูจิ่นรู้สึกว่าร่างกายยังเป็นอุปสรรคอยู่เล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็คุกเข่าลงไปไม่ได้เสียที ยังคิดว่าเป็นเพราะตัวเองอยู่เดือน บวกกับที่เฉิงฉือกล่าวได้อย่างจริงใจยิ่ง นางจึงจำต้องยอมแพ้ หันไปยิ้มให้เฉิงฉืออย่างขออภัย ตัดสินใจให้เป็นตามที่เฉิงฉือกล่าวมา รอให้เรื่องสัมฤทธิผลแล้วค่อยไปกล่าวขอบคุณท่านน้าฉือดีๆ อีกครั้งก็ยังไม่สาย
จะให้ดีที่สุดคือไปพร้อมกับเลี่ยวเส้าถัง
เช่นนั้นถึงจะดูเป็นทางการสักหน่อย
เฉิงฉือจึงเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งบอกเสาจิ่นก็แล้วกัน นางหน้าบาง ถึงเวลาจะได้ไม่รู้สึกอับอาย ที่ข้ามาหาเจ้า ก็เพราะอยากให้เจ้าหาข้ออ้างสักข้อให้นางไปหาข้าสักครั้งหนึ่ง…”
ความบังเอิญ มักจะทำให้คนรู้สึกว่ามีวาสนาต่อกัน
ถ้าหากเสาจิ่นและซ่งซิ่วจือพบกันโดยบังเอิญถึงสองครั้ง สำหรับเสาจิ่นแล้ว จะต้องรู้สึกว่าซ่งซิ่วจือพิเศษอยู่บ้างเล็กน้อยอย่างแน่นอน
โจวชูจิ่นเองก็คิดถึงข้อนี้อยู่เหมือนกัน
นางรู้สึกซาบซึ้งใจต่อเฉิงฉือจนยากจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ กล่าวซ้ำๆ ว่า “ท่านน้าฉือวางใจเถิด ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซ่งซิ่วจือผู้นั้นก็คงจะคิดเช่นกันว่าเรื่องแต่งงานของตนกับน้องสาวเป็นเรื่องที่สวรรค์กำหนดมา
เฉิงฉือเห็นโจวชูจิ่นเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายแล้ว ก็ลอบถอนหายใจอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
หรือว่านิสัยของเสาจิ่นจะเหมือนกับมารดาของนาง?
แต่ยามคนที่ซอยจิ่วหรูเอ่ยถึงฮูหยินจวงล้วนกล่าวชื่นชมนางเป็นอย่างมากกันทั้งนั้น ฮูหยินจวงไม่น่าจะเป็นเหมือนเสาจิ่นไปได้!
ไม่รู้ว่าเด็กน้อยผู้นั้นไปเหมือนผู้ใดมา
เขากล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “เรื่องสินเจ้าสาว เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าถูกใจซอยอวี๋เฉียนก็เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้เจ้า เตรียมจะมอบเป็นสินเจ้าสาวให้เสาจิ่นตั้งแต่ต้น ที่ต้าซิ่งข้ายังมีไร่นาพื้นที่ร้อยกว่าหมู่อยู่ผืนหนึ่ง ที่เมืองเป่าติ้งก็มีที่ดินอีกสองผืน ที่ประตูซีจื๋อเหมินทางด้านนี้ก็มีร้านค้าอีกสองสามร้าน ถึงเวลานั้นจะมอบให้เสาจิ่นพร้อมกันทีเดียว พวกเครื่องประดับทองและเงินต่างๆ เจ้าก็ไม่ต้องสนใจเช่นกัน เพียงแต่ช่วยจัดเตรียมของใช้ที่นางใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวันต่างๆ ให้นางก็พอ…”
หรือว่านี่จะเป็นการชดเชยให้เสาจิ่นจากจวนหลัก?
สีหน้าของโจวชูจิ่นแข็งค้างเล็กน้อย
เฉิงฉือมองแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างสลดหดหู่ใจ

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน