โจวชูจิ่นกล่าวมามากมายขนาดนี้ อย่างอื่นโจวเสาจิ่นล้วนจำไม่ได้ จำได้แค่ว่าเฉิงฉือจะย้ายออกไปอยู่บ้านอีกหลังที่ประตูเฉาหยางหลังจากที่พวกนางย้ายเข้าไปแล้ว นางกล่าวขึ้นว่า “เหตุใดต้องรอให้พวกข้าย้ายเข้าไปแล้วท่านน้าฉือถึงจะย้ายออกไปหรือเจ้าคะ ในเมื่อตัดสินใจว่าจะย้ายออกไปอยู่ที่ประตูเฉาหยางแล้ว เหตุใดถึงไม่ย้ายออกไปก่อนที่พวกข้าจะเข้าไปอยู่ จะได้หลีกเลี่ยงข้อกังหาที่อาจเกิดขึ้นในสวนแตงใต้ต้นลูกไหนนั้นได้”
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวชูจิ่นได้เห็นน้องสาวหัวรั้นขนาดนี้ แต่ที่น่าแปลกก็คือนางไม่ได้รู้สึกโกรธหรือขุ่นเคือง ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าน่ารักน่าชื่นชม กล่าวยิ้มๆ ว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้มากเรื่องขนาดนี้ ท่านน้าฉือเป็นเจ้าบ้าน เขารอให้พวกเจ้าย้ายเข้าไปแล้วค่อยย้ายออก นั่นก็เป็นเพราะต้องรับรองแขก เป็นการให้เกียรติพวกเจ้า แต่เจ้ากลับปลุกปั่นให้เป็นปัญหาขึ้นมาได้ ระยะนี้เจ้าติดตามอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัว กฎระเบียบปฏิบัติที่เรียนมาเหล่านั้นเอาไปทิ้งที่ไหนหมดแล้วหรือ” จากนั้นกล่าวกับนางอย่างจริงจังและจริงใจว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านน้าฉือโปรดปรานเจ้า ดีกับเจ้า แต่เจ้าก็ต้องรู้จักความเหมาะสมรู้ว่าควรหยุดตรงไหนด้วยถึงจะถูก”
มิใช่ว่านางไม่รู้จักความเหมาะสม เป็นท่านน้าฉือต่างหากที่ไม่รู้จักความเหมาะสม!
แต่ถ้อยคำนี้นางจะกล้าพูดกับพี่สาวได้อย่างไร
นั่นต้องเป็นเหตุให้นำมาซึ่งคลื่นร้ายทะเลเดือดอย่างแน่นอน
ถึงเวลาท่านน้าฉือจะเสียหน้าได้
โจวเสาจิ่นได้แต่ยู่ปาก ไม่กล่าวอะไรอีก ทว่ากลับวางแผนอยู่ในใจว่า อย่างไรเสียกว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวจะมาถึงจิงเฉิงก็น่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง นางจะรอให้ฮูหยินและน้องสาวย้ายเข้าไปอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน และท่านน้าฉือย้ายออกไปอยู่ที่ประตูเฉาหยางก่อน แล้วนางค่อยย้ายเข้าไปอยู่ก็ยังไม่สาย
เมื่อคิดเช่นนี้ ก็ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยากอะไรแล้ว จึงช่วยกันจัดเก็บหีบสัมภาระพร้อมกับชุนหว่านและคนอื่นๆ
สิ่งที่ดีที่สุดในบ้านย่อมต้องมอบให้ผู้ใหญ่ก่อน
โจวชูจิ่นตั้งใจเอาไว้ว่ารอให้หลี่ซื่อและคนอื่นๆ ย้ายไปอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนแล้ว นางจะย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนปีกตะวันออกแทน จัดเรือนหลักให้ว่างเอาไว้สำหรับให้ฟางซื่อผู้เป็นแม่สามีเข้าไปพักอาศัย ทุกวันทั้งต้องดูแลลูกน้อยเกิดใหม่และต้องยุ่งวุ่นวายกับการกำกับสั่งการบ่าวรับใช้เติมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ยุ่งจนหัวหมุนไปหมด จากนั้นหาเวลาว่างไปดูที่เรือนด้านหลัง เห็นว่าโจวเสาจิ่นเริ่มจัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ ลงหีบสัมภาระบ้างแล้ว จึงคิดว่าวันนั้นเป็นเพียงอาการเอาแต่ใจของน้องสาวเท่านั้น ก็เลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
กระทั่งถึงวันที่ต้องย้ายบ้าน โจวเสาจิ่นกลับบอกว่าต้องการจะรั้งอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน
โจวชูจิ่นขมวดคิ้วมุ่น กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้ารับปากข้าแล้ว! การที่เจ้าตามไปด้วย ก็เท่ากับทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านแทนข้า”
ความหมายโดยนัยก็คือ หลี่ซื่อเป็นแขก
โจวเสาจิ่นกลับยืนกรานเด็ดเดี่ยวอย่างน้อยครั้งนักที่จะได้เห็น แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจกล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าท่านน้าฉือยังอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนหรอกหรือ มีท่านน้าฉือช่วยให้การรับรองฮูหยินก็ได้แล้ว ข้าอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันแล้วค่อยย้ายออกไปเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นนึกถึงคนที่เฉิงฉือส่งมาเพื่อช่วยพวกนางย้ายบ้านแล้วก็ร้อนใจจนปากจะเป็นร้อนในอยู่แล้ว
แต่ไม่นานเฉิงฉือที่อยู่ทางด้านโน้นก็ได้รับจดหมายแล้วเช่นกัน
เขาอดไม่ได้หลุดหัวเราะออกมา
เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ กลายเป็นคนมีนิสัยเหมือนแมวตัวหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดกัน ตอนที่ผู้อื่นรังแกนางนางเดินหนีไปโดยไม่ตะโกนร้องอะไรเลยสักคำ พอมาถึงคราวของเขากลับง้างกรงเล็บต้องการจะตะปบเขา
คอยดูว่าเขาจะจัดการกับนางอย่างไร!
เฉิงฉือไปที่ซอยอวี๋ซู่
โจวชูจิ่นยังคงเคร่งเครียดอยู่กับโจวเสาจิ่น เป็นหลี่ซื่อที่เห็นเฉิงฉือแล้วใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ รีบกล่าวอธิบายยิ้มๆ ว่า “เป็นเพราะคุณหนูรองไม่อยากไปจากต้ากูไหน่ไนและกวนเกอ!”
เฉิงฉือไม่ได้ใส่ใจนัก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะหว่านล้อมนางเอง!” จากนั้นเดินไปที่เรือนด้านหลัง
ซางมามาและคนอื่นๆ ที่รับใช้โจวเสาจิ่นต่างยืนสำรวมอยู่ในลานบ้าน
โจวชูจิ่นกำลังยืนเกลี้ยกล่อมน้องสาวอย่างจริงจังและเอาใจใส่อยู่ข้างกรอบหน้าต่างอย่างไร้ทางเลือกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่นั่นมิใช่ว่าเป็นบ้านของท่านน้าฉือหรอกหรือ ตอนอยู่ที่เรือนหานปี้ซานมิใช่ว่าเจ้าก็เคยคลุกคลีกับท่านน้าฉือมาแล้วหรอกหรือ ท่านน้าฉือออกจะดีกับเจ้ายิ่งนัก! บอกว่าวันที่แปดเดือนสี่เจ้าจะต้องไปจุดธูปไหว้พระ ถึงได้ตั้งใจกำหนดวันย้ายบ้านเป็นวันนี้ เจ้ามีอะไรให้ต้องกลัวกัน? ถ้าหากเจ้าไม่อยากย้ายออกไปจริงๆ วันนี้เจ้าก็เพียงทำเป็นพิธีไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปรับเจ้ากลับมาตั้งแต่เช้าตรู่เลยดีหรือไม่”
นางเพียงไปดูที่ลานหลักมาครู่เดียวเท่านั้น เมื่อกลับมาโจวเสาจิ่นก็ไล่บ่าวรับใช้ของตัวเองออกไปแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องเสียแล้ว
เฉิงฉือเห็นเช่นนั้น ก็โมโหจนหัวเราะออกมา เอ่ยขึ้นว่า “ต้ากูไหน่ไหนหลบออกมาสักครู่หนึ่งก่อน ข้าจะลองหว่านล้อมนางดู!”
ซางมามาที่ยืนอยู่อย่างสัตย์ซื่อท่ามกลางบ่าวรับใช้นั้นเห็นเฉิงฉือแล้วดวงตาเป็นประกาย
โจวชูจิ่นกลับหลบไปอยู่ข้างๆ อย่างกระดากอาย
ท่านน้าฉือมีน้ำใจให้พวกนางย้ายไปอยู่ด้วย ทว่าน้องสาวกลับไม่รู้สำนึก
ไม่รู้ว่าถ้อยคำของตนที่กล่าวไปเมื่อครู่นี้ท่านน้าฉือจะได้ยินไปกี่มากน้อย
เฉิงฉือยืนอยู่ตรงทางเดินเอ่ยขึ้นว่า “เสาจิ่น ข้ารู้ว่าเจ้าได้ยิน จงเปิดประตูเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นข้าจะเข้าไปด้วยตัวเอง!”
ภายในห้องยังคงเงียบเชียบไร้ซึ่งสรรพเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ
เฉิงฉือถอยออกมาหนึ่งก้าว ตะโกนเรียกฉินจื่อผิงเข้ามา
ฉินจื่อผิงหยิบของบางอย่างคล้ายแผ่นเหล็กชิ้นหนึ่งสอดเข้าไปตรงช่องระหว่างบานประตูแล้วดึงดาลประตูเล็กน้อย
โจชูจิ่นเบิกดวงตากว้าง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเปิดดาลประตูเช่นนี้ได้ด้วย ฉับพลันนั้นนางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่ามีครั้งหนึ่งนางได้ยินเฉิงสือเอ่ยถึงเฉิงฉือเป็นการส่วนตัวโดยไม่ตั้งใจ เป็นการเอ่ยถึงที่แฝงความอิจฉาแต่ก็เจือความชื่นชมอยู่ด้วย ดูเหมือนเป็นการกล่าวล้อเล่น ทว่าความจริงแล้วในน้ำคำกลับเปี่ยมไปด้วยการประชดประชันแดกดัน บอกว่าแม้เฉิงฉือจะเป็นคนร่ำเรียนหนังสือ แต่สิ่งที่ทำกลับเป็นเรื่องค้าขาย แต่อย่างไรก็ตามด้วยเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี กลับทำเงินได้เป็นจำนวนมาก หากบอกว่าไม่มีฝีมือสักนิดเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าท่าทางที่ดูสูงส่งทรงคุณธรรมนั้น ในที่ลับตาคนอาจจะทั้งสังหารคนวางเพลิงมาหมดแล้วก็เป็นได้…
นางมองฝีมือของฉินจื่อผิงแล้ว รู้สึกว่าแม้เฉิงสือจะกล่าวเกินจริงไปบ้าง แต่เกรงว่าเฉิงฉือก็คงมิใช่คนขาวสะอาดขนาดนั้นเช่นกัน
โจวชูจิ่นกลัวว่าน้องสาวจะทำให้เฉิงฉือเดือดดาล ถึงเวลานั้นจะเจอดีได้ จึงก้าวออกไปตบบานหน้าต่างของโจวเสาจิ่นสองสามครั้งอย่างอดไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าจงเชื่อฟัง รีบเปิดประตูเสีย”
โจวเสาจิ่นนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง ตัดสินใจแน่แล้วว่าจะไม่เปิดประตู
พอได้ยินเสียงของเฉิงฉือ นางคำรามเสียงเย็นอยู่ในใจว่า เพราะไม่ว่านางจะพูดอย่างไรพี่สาวล้วนไม่คล้อยตาม นางจึงจำต้องใช้วิธีโง่เง่าเช่นนี้ ท่านน้าฉือจะลากตัวนางไปที่ซอยอวี๋เฉียนต่อหน้าพี่สาวของนางได้หรือ ต่อให้เขาคิดจะทำเช่นนั้น พี่สาวก็ไม่ยอมอย่างแน่นอน!
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจเล็กน้อย
ดูว่าท่านน้าฉือจะทำอย่างไร
เพราะฉะนั้นตอนที่โจวชูจิ่นเอ่ยโน้มน้าวนางนั้น นางจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
แต่ไม่นาน นางก็หัวเราะไม่ออกเล็กน้อย
ชั่วขณะนั้นด้านนอกก็เงียบเชียบขึ้นมาในทันใด ไม่มีเสียงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน