เข้าสู่ระบบผ่าน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน นิยาย บท 390

โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้อย่างเชื่อฟังแล้วเดินออกไป ในใจยังคงรู้สึกเศร้าหมองเป็นอย่างมากอยู่

กระทั่งตอนที่เดินใกล้จะถึงปากประตูแล้วนั้น ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าตนยังไม่ได้ถามอีกหนึ่งเรื่อง จึงหมุนกายกลับมาอีกครั้ง เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ท่านน้าฉือ แล้วเรือของสิบสามห้างนั่น เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”

สองแสนเหลี่ยง…นั่นเป็นเงินจำนวนเท่าไรกันนะ

นางจำได้ว่าชาติก่อนติ้งกั๋วกงเคยได้รับราชโองการให้ออกเดินทางไกลไปเกาลี่[1] ใช้เวลาสามปี เสียค่าใช้จ่ายไปหนึ่งแสนเหลี่ยง

ซึ่งก็หมายความว่า เงินที่ท่านน้าฉือสูญเสียไป จะออกเดินทางไกลไปเกาลี่ได้ถึงสองครั้ง

ต่อให้ตระกูลเฉิงจะไม่ถึงขั้นล้มละลาย แต่เกรงว่าก็อาจจะเป็นการลดทอนอำนาจของตัวเองลงได้

แต่นี่ล้วนเป็นเรื่องรอง

สิ่งที่นางเป็นกังวลใจมากที่สุดก็คือเฉิงซวี่ผู้เป็นท่านผู้นำตระกูลจวนรองจะกระโดดออกมาสร้างความลำบากให้ท่านน้าฉือ ไม่แน่ว่าอาจจะใช้อำนาจไปควบคุมร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่อีกด้วย

ชาติก่อนเฉิงเจียเคยพูดเอาไว้ว่า เฉิงเจิ้งพี่ชายของนางริษยาอยากได้ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่เป็นอย่างมาก

เพียงแต่ว่าตอนนั้นนางไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไร

ชาตินี้นางจะยืนดูท่านน้าฉือพบกับหายนะไปเฉยๆ ได้อย่างไร

เฉิงฉือเห็นนางเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง คิดว่านางคงไปได้ยินข่าวลืออะไรมาเป็นแน่ กลัวว่านางจะตื่นตระหนก จึงอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดว่า “กองเรือของสิบสามห้างที่ออกทะเลไป ตอนนี้มีเพียงหนึ่งลำที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ถึงแม้จะกระทบต่อผลกำไร แต่ขอเพียงเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัยได้ ก็ยังคงมีกำไรอยู่ ตอนนี้ด้านนอกพูดกันไปต่างๆ นานา บ้างก็เป็นคำพูดที่เกิดจากความกังวลของเหล่าพ่อค้าที่ร่วมทุนด้วยเหล่านั้น แต่ก็มีคำพูดบางส่วนที่ถูกปล่อยออกมาจากคู่แข่งของสิบสามห้างเพื่อโจมตีคนที่ร่วมทุนกับสิบสามห้างเหล่านั้น การเดินเรือในครั้งนี้เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีนี้และของรัชสมัยนี้ หากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น สิบสามห้างก็อาจจะสูญเสียตำแหน่งเจ้าผู้ครองการค้าของทางใต้ไป แต่ทำนองเดียวกัน ถ้าหากประสบความสำเร็จ สิบสามห้างก็จะปีนได้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น กระทบถึงการค้าของทางเหนือ ซึ่งอาจจะช่วงชิงกำไรมาได้เป็นจำนวนมหาศาล”

โจวเสาจิ่นเข้าใจแล้ว

นางไม่สนใจว่าการค้าของสิบสามห้างจะใหญ่โตไปได้ไกลถึงเพียงใด นางกลัวเพียงว่าท่านน้าฉือจะได้เงินกลับมาหรือไม่เท่านั้น

สาเหตุที่การค้าทางทะเลทำเงินได้มากขนาดนั้นก็เพราะมันมีความเสี่ยงสูง คนธรรมดาทั่วไปจึงไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

ตอนนี้มีเรืออับปางเพียงหนึ่งลำก็จริง แต่ถ้าเรืออับปางลงอีกหนึ่งลำเล่า?

เมื่อความคิดวาบผ่าน นางก็ร้อง ‘เพ้ย’ กับตัวเองครั้งหนึ่ง ลอบสวดในใจประโยคหนึ่งว่า สิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นโมฆะเหลือเพียงสิ่งดีไว้ จากนั้นถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ แล้วของที่ซื้อกลับมาในวันนี้เหล่านั้นจะนำไปคืนสักส่วนหนึ่งได้หรือไม่ มันมากเกินไป และก็มีของจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้ อย่างเช่นถ้วยชามเหล่านั้น ข้าดูแล้วมีถึงสิบสองชุด พวกข้าอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราวเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ค่อยได้เชิญแขกมา จะต้องใช้ถ้วยชามจำนวนมากถึงเพียงนั้นไปเพื่ออันใด ต่อให้ได้เชิญแขกมา ก็ไม่อาจเชิญแขกมาที่บ้านติดๆ กันถึงสิบสองครั้งได้! ข้าว่าเหลือเอาไว้เพียงสองถึงสามชุดก็พอแล้วเจ้าค่ะ อย่างมากพวกเราก็คงจะเชิญฮูหยินใหญ่เลี่ยวมากินข้าวด้วยกันสักมื้อตอนที่นางมาถึงแล้วเท่านั้น แล้วก็แจกันนั่นอีก มีทั้งที่เป็นลายภาพทิวทัศน์หิมะและลายดอกเหมยเหมันตฤดู ข้าว่าเก็บเอาไว้เพียงหนึ่งคู่ก็พอแล้ว ปีหน้ามีลายใหม่ออกมาค่อยซื้อมาอีกก็ยังไม่สาย…”

การตกแต่งเรือนนั้นต้องปรับเปลี่ยนไปตามสี่ฤดูกาลที่แตกต่างกันไป แจกันลายภาพทิวทัศน์หิมะและลายดอกเหมยเหมันตฤดูนี้ล้วนเป็นของที่ใช้ตกแต่งในฤดูหนาว ถ้าเป็นบ้านของคนที่พิถีพิถันสักหน่อยก็อาจจะประดับแจกันลายดอกเหมยเหมันตฤดูในช่วงที่อากาศหนาวเย็นที่สุดอย่างวันซานจิ่ว แล้วก็เปลี่ยนไปประดับแจกันลายภาพทิวทัศน์หิมะในวันหิมะตก แต่ถ้าไม่เปลี่ยนก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทอะไร ก็เป็นที่ยอมรับได้

เพียงคิดตามคำพูดตั้งแต่ต้นจนจบของโจวเสาจิ่นเฉิงฉือก็เข้าใจแล้ว

เด็กน้อยกำลังลอบช่วยเขาประหยัดเงินอย่างลับๆ อยู่!

ถ้าหากเขามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เงินค่าถ้วยชามและแจกันเพียงไม่เท่าไรพวกนั้นจะช่วยประหยัดได้สักกี่มากน้อยกันเชียว แต่ความปรารถนาดีของเด็กน้อยกลับทำให้เขารู้สึกมีความสุข

เฉิงฉือครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าช่วยข้าเก็บเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน บ้านที่ซอยอวี๋เฉียนนี้มอบให้เจ้าแล้วก็เท่ากับว่าเป็นของเจ้าแล้ว ซึ่งรวมถึงข้าวของภายในบ้านด้วย ข้ายังตั้งใจเอาไว้ว่าอีกสักสองสามวันจะส่งภาพวาดและอักษรภาพมาให้ชุดหนึ่ง ล้วนเป็นผลงานจริงของปรมาจารย์ในรัชสมัยก่อนหน้าทั้งสิ้น เจ้าก็ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีด้วย…”

นี่ท่านน้าฉือต้องการจะ?

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตึกไม่หยุด กว่าครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ บ้านที่ประตูเฉาหยางนั้นเป็นของส่วนรวมหรือเจ้าคะ”

ในตระกูลใหญ่นั้น หากไม่แยกครอบครัวออกไปไม่อนุญาตให้สะสมสมบัติพัสถานส่วนตัว

ดังนั้นอย่ามองว่าท่านน้าฉือเป็นคนดูแลกิจการของซอยจิ่วหรู เพราะเกรงว่าของที่เป็นของส่วนตัวของเขาอาจจะมีไม่มากเท่าเงินส่วนตัวของตนด้วยซ้ำ

เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ ดูไม่ออกเลยว่าในยามสำคัญจะเป็นคนที่เฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้!

เฉิงฉือเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เป็นของจวนหลัก”

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนได้รู้ความจริงแล้ว

ฉับพลันนั้นนางรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาเล็กน้อย

ทำการค้าก็ต้องมีช่วงเวลาได้กำไรและขาดทุนกันบ้างอยู่แล้ว!

ถึงแม้การยุยงท่านน้าฉือในช่วงเวลาที่ตระกูลเฉิงอาจจะพบกับหายนะเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก แต่ท่านน้าฉือช่วยทำเงินให้ตระกูลเฉิงมาตั้งมากมายขนาดนั้น คงไม่อาจริบเอาสิทธิ์ในการดูแลกิจการของเขาคืนเพียงเพราะเขาสูญเสียเงินหรอกกระมัง

เช่นนั้นต่อไปท่านน้าฉือจะทำอย่างไร

หรือว่าจะทำอะไรก็ต้องให้เขาดูสีหน้าของผู้อื่นเพราะเงินไม่กี่เหลี่ยงนั้นอย่างนั้นหรือ

โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปาก กล่าวกับเฉิงฉืออย่างขลาดอายเล็กน้อยว่า “หากท่านน้าฉือยังมีของอะไรที่อยากจะมอบให้ข้าอีกก็ส่งมาเลยเจ้าค่ะ! ท่านช่วยจัดคนมีฝีมือดีสักหน่อยมาคุ้มครองบ้านเอาไว้สักสองสามคน ข้ารับประกันว่าจะไม่ทำของล้ำค่าเหล่านั้นหายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ นี่กำลังยุยงให้เขาสะสมสมบัติพัสถานส่วนตัวอยู่ใช่หรือไม่

ชั่วขณะนั้นเฉิงฉือบังเกิดความรู้สึกประเภทที่ว่าเขาสังหารคนแล้วนางช่วยยื่นมีดส่งมาให้เขา

แต่ความรู้สึกนี้…ช่างถูกใจเขายิ่งนัก

คนที่เขาเกลียดที่สุดคือคนที่ยกธงบอกว่าเจตนาดีต่อเขาทว่ากลับให้เขาทำเรื่องต่างๆ ให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการเหล่านั้นเป็นที่สุด

เฉิงฉือจึงกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ในอ้อมกอด วางคางเอาไว้บนศีรษะของนางถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยเสียงหนึ่งว่า “เสาจิ่น”

โจวเสาจิ่นตัวสั่นไม่หยุด

รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเล็กน้อย

ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าควรจะผลักเขาออกดีหรือไม่อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเสียงนั้นของเขาเสียก่อน

เป็นเสียงถอนหายใจที่ลึกและยาว ผิดหวังและขมขื่น

ท่านน้าฉือคงกำลังรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากอยู่กระมัง

เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแต่กลับไม่มีใครที่ให้ความช่วยเหลือเขาได้สักคน

ชาติก่อนที่เขาออกจากตระกูลไป จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่นะ

ชั่วขณะนั้นโจวเสาจิ่นรู้สึกใจเหลวเป็นน้ำ

เวลาที่นางเสียใจก็อยากจะมีใครสักคนโอบกอดนางเอาไว้เช่นกัน

ถึงแม้ท่านน้าฉือจะเป็นบุรุษ แต่ความรู้สึกเสียใจก็ไม่ได้ต่างกัน

เขาอยากกอดนางจึงเป็นอะไรที่ให้อภัยได้

ตอนที่ 390 ห้องหับ 1

ตอนที่ 390 ห้องหับ 2

ตอนที่ 390 ห้องหับ 3

Verify captcha to read the content.VERIFYCAPTCHA_LABEL

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน