โจวเสาจิ่นตกตะลึงเล็กน้อย
เฉิงฉือพูดเพียงว่าตัวเองเติบโตอยู่ที่จิงเฉิง ทว่าไม่ได้บอกว่าผู้ใดเป็นคนเลือกเขาและเขาไปดูแลพรรคเจ็ดดาราได้อย่างไร
เป็นเพราะในเรื่องนี้ยังมีเรื่องแปลกๆ อย่างอื่นอยู่อีกใช่หรือไม่
โจวเสาจิ่นนึกถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัว
นึกถึงเฉิงฉือที่ชักช้าไม่แต่งงาน
นางรู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องเหล่านี้อาจจะเกี่ยวข้องกับบิดามารดาและพี่ชายของเฉิงฉือ…
โจวเสาจิ่นไม่กล้าคิดต่อและไม่กล้าถามต่อด้วย
นางลุกขึ้นอย่างรู้ความ ไปรินชาจอกใหม่มาให้เฉิงฉือ ถือมาแล้วยื่นส่งให้จนถึงมือของเฉิงฉือ
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับรับจอกชามาดมกลิ่นหอมของชา จิบเบาๆ คำหนึ่ง
เขาไม่ค่อยอยากพูดถึงเท่าไรนัก
แต่วันนี้ถือเป็นโอกาสอันดี
บางทีถ้าหากผ่านโอกาสนี้ไปแล้ว เขาคงไม่อาจเล่าให้เสาจิ่นฟังอย่างสงบเช่นนี้ได้อีกตลอดไป
“คนที่เลือกข้าไปดูแลพรรคเจ็ดดาราคือท่านผู้นำตระกูลจวนรอง” ณ ขณะที่โจวเสาจิ่นคิดว่าเฉิงฉือคงจะไม่เล่ารายละเอียดเรื่องของตระกูลเฉิงให้นางฟังแล้วนั้น เฉิงฉือกลับเล่าต่อเอื่อยๆ อย่างไม่เร็วและไม่ช้าว่า “ข้าดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก เรื่องขึ้นไปรื้อหลังคาบนบ้านหรือลงน้ำไปจับปลาล้วนทำมาไม่น้อย ทำให้ท่านพ่อของข้าโมโหแทบแย่ ท่านพ่อของข้าโกรธจนกระทืบเท้าพร้อมกับข่มขู่ข้าอยู่บ่อยๆ ว่าจะส่งข้าไปเป็นทหารที่ค่ายหุบเขาตะวันตก” ขณะที่เขากล่าวก็ยิ้มบางๆ ออกมา เป็นรอยยิ้มราบเรียบอบอุ่น ดูออกว่าอารมณ์ดียิ่ง
ความสัมพันธ์ของท่านน้าฉือและบิดาของเขาคงดียิ่ง
โจวเสาจิ่นคิดอยู่ในใจ ทว่าชั่วพริบตาเดียวกลับเห็นลำแสงคมปลาบดุจคมมีดสายหนึ่งวาบผ่านดวงตาของเฉิงฉือ เขากล่าวขึ้นว่า “ตระกูลเฉิงเป็นตระกูลบัณฑิต จะส่งข้าไปเป็นทหารที่ค่ายหุบเขาตะวันตกได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าบางเรื่องไม่ควรหยิ่งผยองจนเกินไป กล่าวคือ ในปีที่ข้าอายุเจ็ดขวบ ท่านพ่อก็เสียชีวิต หลังจากที่ไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อไปสี่สิบเก้าวันแล้ว พวกพี่ชายยังคงไว้ทุกข์อยู่ที่บ้านต่อ ทว่าข้ากลับถูกส่งตัวกลับจิงเฉิง เริ่มต้นเรียนการต่อสู้กับบิดาของพ่อบ้านใหญ่ฉิน!”
มองออกว่าเฉิงฉือไม่พอใจกับการจัดเตรียมการเช่นนี้เท่าไรนัก
เป็นเพราะพวกผู้ใหญ่ตัดสินใจตัดอนาคตบนเส้นทางขุนนางของเขาหรือเป็นเพราะการเรียนการต่อสู้ทำให้ได้รับความยากลำบากมากเกินไปกันนะ
ความคิดนี้วาบผ่านหัวสมองของโจวเสาจิ่นแล้วก็ผ่านไป ไม่นานโจวเสาจิ่นก็ตัดความเป็นไปได้ข้อหลังทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
ท่านน้าฉือเดินมาถึงวันนี้ได้ จะต้องได้รับความยากลำบากมาไม่น้อย
ในเมื่อเขารับความยากลำบากได้ เช่นนั้นจึงไม่น่าจะเป็นเพราะการเรียนการต่อสู้ที่ทำให้เขาไม่พอใจ
เช่นนั้นก็คงจะเป็นเพราะไม่พอใจการจัดเตรียมการของพวกผู้ใหญ่แล้วกระมัง
โจวเสาจิ่นไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่รินน้ำชาให้เฉิงฉืออีกจอกหนึ่ง
ครั้งนี้เฉิงฉือไม่ได้ยื่นมือออกไปรับมา แต่สายตาจับจ้องตรงไปที่จอกชาตรงหน้าเขาแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “บิดาของเข้าป่วยเสียชีวิตในปีติงโฉ่ว หรือก็คือรัชศกหย่งชังปีที่สิบห้าเดือนเจ็ดวันที่สี่ ฤดูร้อนในปีนั้น เขาเป็นไข้หวัดโดยบังเอิญ แต่เนื่องจากการงานทำให้ไม่ได้ตรวจหาอาการในทันที กระทั่งตอนที่ตรวจพบว่าอาการหนักแล้วนั้นก็กลายเป็นวัณโรคไปแล้ว ไม่นานก็เสียชีวิตลง…
…ขณะนั้นเขาดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายของกรมการตรวจตรา ยศขั้นสองเจิ้งและเป็นหนึ่งในรองเจ้ากรมทั้งเก้าแล้ว อีกเพียงหนึ่งก้าวก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้ากรมแล้ว แต่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองนั้นได้เป็นเจ้ากรมขุนนาง ที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งอิงอู่อยู่ก่อนแล้ว ที่บิดาของข้าไม่ได้รับการแต่งตั้งเสียที สาเหตุที่สำคัญยังเป็นเพราะท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นท่านอาของเขาด้วย…
…ราชสำนักมิอาจปล่อยให้อาและหลานเป็นเจ้ากรมพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้…
…เวลานั้นท่านผู้นำตระกูลจวนรองอายุมากกว่าหกสิบปีแล้ว ทว่าบิดาของข้าเป็นคนมีความสามารถที่อายุยังน้อยอยู่ ทุกคนต่างพูดกันว่า อีกไม่กี่ปีรอให้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองลาออกจากตำแหน่งแล้ว บิดาของข้าก็จะได้รับการแต่งตั้งแล้วอย่างแน่นอน…
…แต่บิดาของข้ากลับเสียชีวิตก่อนท่านผู้นำตระกูลจวนรอง…
…นอกจากนี้พี่ชายทั้งสองคนของข้าต่างได้รับการแต่งตั้งแล้ว ผู้หนึ่งเป็นเจ้าพนักงานอยู่ในกรมโยธา อีกผู้หนึ่งเพิ่งได้รับเลือกให้เป็นบัณฑิตซู่จี๋ ฝึกงานเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่กรมกลาโหม…
…แต่พอบิดาเสียชีวิต พี่ชายทั้งสองคนของข้าจำต้องกลับมาไว้ทุกข์ที่บ้านเกิด พี่ใหญ่ยังดี ผ่านการเป็นบัณฑิตซู่จี๋มาแล้ว แต่พี่รองกลับยังไม่ผ่านการเป็นบัณฑิตซู่จี๋ จึงได้เป็นเพียงจิ้นซื่อธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น”
ฟังแล้วโจวเสาจิ่นค่อยๆ เข้าใจความเป็นมาขึ้นมา
เดิมทีเส้นทางขุนนางของจวนหลักนั้นสว่างไสวรุ่งโรจน์ ทว่าการจากไปของเฉิงซวินเป็นเหตุให้ความรุ่งโรจน์นั้นกลายเป็นเลือนรางขึ้นมา
นางกล่าวขึ้นว่า “เพราะเช่นนี้ ตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่ารองถึงได้ออกหน้ามาช่วยเหลือครอบครัวใช่หรือไม่เจ้าคะ”
มีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เฉิงเซ่าเจิดจรัสเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนจำนวนมากต่างคิดว่าเขาน่าจะได้รับการแต่งตั้งให้มีอำนาจอยู่ในหกกรมได้
เฉิงฉือยิ้มเย็น เอ่ยขึ้นว่า “จะต่อรองเงื่อนไขกับผู้อื่น เป็นธรรมดาที่ต้องมีไพ่อยู่ในมือ! ตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ก็มีความเห็นไม่ตรงกับท่านผู้นำตระกูลจวนรองอยู่แล้ว กระทั่งท่านพ่อเสียชีวิตไป ท่านผู้นำตระกูลจวนรองยังเคยโต้แย้งกับท่านอารองด้วยเรื่องจะเก็บร่างของท่านพ่อไว้สี่สิบเก้าวันหรือสี่สิบสองวันอีกด้วย”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน