โจวเสาจิ่นเปลี่ยนไปอย่างไรกันนะ เฉิงฉืออดพิจารณาดูสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียดไม่ได้
แววตาของนางวาววับ ดวงหน้าแดงเรื่อ มุมปากยกขึ้นบางเบา อากัปกิริยาผ่อนคลายและสงบนิ่ง เจิดจรัสประหนึ่งอาบด้วยแสงวสันต์ก็ไม่ปาน
หากจะให้พูดว่านางต่างจากเดิมเช่นไร… นับตั้งแต่ที่เขาจุมพิตนาง เวลาที่นางพบหน้าเขาก็จะตื่นกลัวเล็กน้อย คล้ายกับหญิงสาวบอบบางผู้หนึ่งที่กำลังเผชิญหน้าผู้ที่แข็งแกร่งกว่านางมากอย่างไรอย่างนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษที่ชี้ชะตาเป็นตายของนางได้จึงแสดงความขลาดกลัวเช่นนั้นออกมา แต่ตอนนี้นางเสมือนย้อนกลับไปช่วงก่อนที่เขาจะจูบนาง ยามที่อยู่ต่อหน้าเขาก็ดูสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง ราวกับระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่อย่างใด เขายังคงเป็นน้าที่ดีที่รักและถนอมนางคนหนึ่ง ส่วนนางยังคงเป็นหลานสาวที่เชื่อใจและพึ่งพิงเขาคนนั้นอยู่เหมือนเดิม
ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ถือว่าดีหรือไม่ดีกันนะ
เฉิงฉือย่นหัวคิ้วเงียบๆ
หากว่านางเชื่อคำพูดของเขาอย่างจริงจัง แล้วคิดว่าวันนั้นที่เขาทำเช่นนั้นกับนางเป็นเพียง ‘การหักห้ามใจไม่อยู่’ ชั่ววูบหนึ่งล่ะก็ ทางที่ดีที่สุดคือต่างฝ่ายต่างลืมทุกอย่างให้หมด บางทีสถานการณ์เช่นนี้อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้
เช่นนั้นก็แย่เล็กน้อยแล้วล่ะ
เขากับนางอาจจะหวนกลับไปเหมือนดังเก่า
แต่เป็นไปได้หรือไม่ว่าเด็กน้อยตื่นตัวขึ้นมาแล้ว
เมื่อวานเขาเช็ดตัวให้นาง ประการแรกคือเป็นห่วงที่จู่ๆ นางล้มป่วยลง ประการที่สองคือไม่วางใจให้ผู้อื่นดูแลนาง ยิ่งกว่านั้นเขาก็อยากจะฉวยโอกาสตอนที่ใต้เท้าโจวกับโจวชูจิ่นไม่อยู่ข้างกายโจวเสาจิ่น หยั่งดูท่าทีของพวกสาวใช้ข้างกายนางสักหน่อยเหมือนกัน ให้พวกนางค่อยๆ ปรับตัวให้คุ้นชินกับท่าทีที่เขามีต่อเสาจิ่น เพื่อปูทางเชื่อมสะพานสำหรับวันข้างหน้าของพวกเขา
ทว่าสาวใช้ข้างกายของนางยังไม่ทันเคลื่อนไหวอะไร จู่ๆ เด็กน้อยกลับดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเสียแล้ว
ถึงแม้เฉิงฉือเป็นผู้มีปัญญาล้ำลึกดุจห้วงสมุทร ทว่าชั่วแล่นนั้นกลับไม่ค่อยแน่ใจว่าในตัวนางเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรกันแน่
เห็นทีว่าคงได้แต่ค่อยๆ ดูไปทีละก้าวเสียแล้ว!
เป็นครั้งแรกที่เฉิงฉือรู้สึกว่าสถานการณ์อยู่เหนือทิศทางการควบคุมของตนเองเล็กน้อย มีความรู้สึกไร้พลังอย่างน่าแปลกใจ
แต่ด้วยลักษณะนิสัยของเขาไม่นานก็โยนความสงสัยเหล่านี้ทิ้งไปข้างหลัง แทนที่จะคาดเดาไปมาอยู่ตรงนี้ ไม่สู้ไปพิสูจน์ประเดี๋ยวนี้เสียเลยยังจะดีกว่า
เขายิ้มพลางรับประทานมื้ออาหารที่สายเกินกว่าจะเป็นมื้อเช้าเร็วเกินไปจะเป็นมื้อเที่ยง จากนั้นก็ลุกขึ้นมาลูบศีรษะของโจวเสาจิ่น พลางเอ่ยขึ้นว่า “ไปผลัดอาภรณ์เสีย ประเดี๋ยวพวกเราไปเที่ยวงานวัดกัน!”
“หา?!” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
นัยน์ตาดำตัดขาว กระจ่างใสเหลือบรรยาย
เป็นดวงตางามเฉิดฉันคู่หนึ่งจริงๆ
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้เป็นวันสรงน้ำพระพุทธเจ้า เจ้าไม่อยากไปออกไปเที่ยวสักหน่อยหรือ”
ไฉนถึงลืมวันสำคัญเช่นนี้ไปได้
โจวเสาจิ่นรู้สึกขัดเขิน เอ่ยถามว่า “มิใช่ว่าต้องไปตั้งแต่เช้าหรือเจ้าคะ เกรงว่าพระอาจารย์ใหญ่ในวัดคงจะแสดงธรรมเสร็จหมดแล้ว…”
ความหมายก็คือสายเกินไปแล้ว ที่สำคัญคือพวกเขาไปไม่ทันแล้วยังจะไปเพื่ออันใดเล่า
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าอยากจะไปฟังพระอาจารย์ใหญ่เหล่านั้นเทศน์ในวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าหรือ ข้ายังคิดว่าพวกเจ้าจะพุ่งตัวไปเที่ยวงานวัดเสียอีก! แต่ก่อนพอเจิงเจียเอ๋อร์กับเซิงเจียเอ๋อร์ได้ยินว่าพระอาจารย์ใหญ่จะแสดงธรรม ต่างก็หาข้ออ้างแอบหนีออกไปเที่ยวกันแล้ว…” เขามองดูดวงตาของโจวเสาจิ่นที่เบิกกว้างยิ่งขึ้น คล้ายกับเด็กดีที่มาสายแต่กลับเร็วอยู่เสมอผู้หนึ่งที่จู่ๆ ก็ค้นพบว่ามีคนที่หนีเรียนแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้แต่กลับไม่ถูกทำโทษอยู่ด้วยอย่างไรอย่างนั้น ทันใดนั้นเขาก็คิดว่าอย่าให้เฉิงเจิงกับเฉิงเซิงชักจูงเด็กน้อยของเขาดีกว่า เขาจึงกอดโจวเสาจิ่น แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “ยังคงเป็นเสาจิ่นของข้าที่ว่านอนสอนง่ายที่สุด ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวงานวัด!”
เสาจิ่นของข้า…
น้ำเสียงทะนุถนอมเช่นนั้นทำให้โจวเสาจิ่นหน้าแดงเถือกขึ้นมาในทันทีราวกับจะหลั่งโลหิตออกมาได้ก็ไม่ปาน ทว่าในใจกลับเสมือนลอบกินน้ำผึ้งที่หวานหยดย้อย แต่ก็รู้สึกลนลานเล็กน้อย
เฉิงฉือถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไปผลัดอาภรณ์เร็วเข้า แล้วไปบอกฮูหยินสักหน่อยว่า ให้พาคุณหนูสามไปด้วย พวกเราจะไปเที่ยววัดต้าเซียงกั๋วด้วยกัน ตอนเย็นจะไปกินปลากระรอกที่เหลาสุราฟู่ชุนเจียง เถ้าแก่ของพวกเขาเป็นคนซงเจียง พ่อครัวที่นั่นทำอาหารหังโจวได้ถึงรสชาติดั้งเดิมเป็นอย่างยิ่ง”
โจวเสาจิ่นยังจมอยู่ในภวังค์ตั้งแต่เมื่อครู่ ทว่าความเชื่อฟังที่มีต่อเฉิงฉือเรื่อยมาทำให้นางได้ยินแล้วตอบว่า “เจ้าค่ะ” คำหนึ่งอย่างเลื่อนลอย แล้วเดินออกไปอย่างว่าง่าย
เดินไปสองสามก้าว นางถึงได้คืนสติกลับมา
ทำไมท่านน้าฉือถึงกอดนางอีกแล้ว!
หรือจะหักห้ามใจไม่อยู่กันนะ
ถ้าหากไม่กอดนางก็คงดี
เพียงพูดคุยกับนาง… นางก็มีความสุขมากแล้ว
แต่หากมิใช่เพราะควบคุมตนเองไม่อยู่ ท่านน้าฉือก็คงไม่เอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นกับนางเป็นแน่
เห็นได้ว่าในโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่สมบูรณ์แบบ… นางเองก็อยู่รับประทานอาหารกับท่านน้าฉืออย่างหน้าไม่อายเหมือนกันมิใช่หรือ
ขณะที่โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ ในใจก็รู้สึกหวานฉ่ำอย่างยากจะระงับ ดวงหน้าแดงซ่านยิ่งขึ้น ยิ่งเดินก็ยิ่งเร่งฝีเท้า ไม่นานก็ทิ้งจี๋เสียงเอาไว้ข้างหลัง
“คุณหนูรองๆ!” จี๋เสียงวิ่งตามมาอย่างกระหืดกระหอบ พลางกล่าวว่า “ท่านเดินให้ช้าลงสักหน่อย…”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม เพียงรู้สึกว่าในใจเบิกบานจนฟูฟ่อง แทบจะลอยล่องออกไปอย่างห้ามไม่อยู่
“เจ้ารีบตามมาเร็ว!” ขณะที่นางกล่าว ก็เดินไปหาหลี่ซื่อแล้ว
ตอนที่หลี่ซื่อได้ยินว่าเฉิงฉือตั้งใจจะพาพวกนางออกไปเที่ยวงานวัด ทั้งยังจะไปรับประทานมื้อเย็นที่เหลาสุรา หลังจากรู้สึกตะลึงพรึงเพริดแล้วในใจก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ตระกูลหลี่วางแผนให้บุตรสาวคนนี้แต่งงานกับตระกูลสูงศักดิ์มานานแล้ว ตอนที่อยู่บ้านเดิมก็ควบคุมนางอย่างเข้มงวด หลังจากออกเรือน ผู้ที่แต่งงานด้วยเป็นพ่อเมืองที่อายุมากกว่านางสิบกว่าปีผู้หนึ่งอีก กิริยาวาจาของนางจึงเรียบร้อยและระมัดระวังยิ่งขึ้น ต่อให้ออกไปเที่ยวข้างนอก ก็เป็นการไปร่วมงานสังคมเสียมากกว่า เหมือนว่าการออกไปเที่ยวอย่างนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน
นางครุ่นคิดเป็นเวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็ตัดสินใจได้แล้ว “ดี! พวกเราไปเที่ยวงานวัดกันเถอะ พาโย่วจิ่นไปด้วย”
โจวเสาจิ่นระบายยิ้มจนคิ้วตาเป็นเส้นโค้ง

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน