ครั้นได้ยินฝานหลิวซื่อบอกให้กลับเมืองเป่าติ้ง โจวเสาจิ่นก็เก็บน้ำตา แล้วลุกขึ้นมานั่ง
ฝานหลิวซื่อเห็นแล้วก็ดีใจเหลือล้น เสียงที่เอ่ยเรียก ‘คุณหนูรอง’ เมื่อครู่หยุดลงไปโดยปริยาย
โจวเสาจิ่นเช็ดน้ำตาแล้วนั่งตัวตรง สีหน้าเคร่งขรึม แม้ว่าหน้าตายังคงดูอ่อนโยนดังเก่า ทว่าตรงหว่างคิ้วกลับมีความสงบนิ่งเจือรอยเด็ดเดี่ยวเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง ราวกับคนที่มีปณิธานแน่วแน่ก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคหรือภยันตรายเช่นไร ก็จะฝ่าฟันเข้าไปโดยไม่ลังเล
โจวเสาจิ่นที่เป็นเช่นนี้ ทำให้ฝานหลิวซื่อหวนกระหวัดถึงจวงซื่อขึ้นมาในทันใด
ยามที่จวงซื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็มักจะนั่งอยู่ในห้องบัญชีเล็กๆ ด้วยท่าทางเช่นนี้ขณะสั่งการบ่าวไพร่ในเรือน
ตอนนั้น นางไม่เคยขบคิดมาก่อนเลยว่าถ้อยคำของจวนซื่อจะถูกต้องหรือไม่ คิดแค่ว่าสตรีผู้นี้พึ่งพาได้จริงๆ เท่านั้น ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามหากถึงมือของนางจะคลี่คลายลงทั้งสิ้น จัดการได้อย่างเหมาะสมและสมบูรณ์แบบ นางเพียงทำตามก็พอ ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ตนก็มีจวงซื่อผู้สูงส่งผู้นี้หนุนหลัง
เพียงถ้อยคำไม่กี่ประโยค โจวเสาจิ่นก็เปลี่ยนไปแล้ว
ฉับพลันบนร่างของนางมีเงาสะท้อนของจวงซื่อปรากฏขึ้นมารางๆ
ฝานหลิวซื่อจิตใจเลื่อนลอยไปชั่วขณะ
โจวเสาจิ่นเองก็มิได้เอ่ยคำใดเช่นกัน ตะโกนบอกให้เสี่ยวถานเข้ามาปรนนิบัตินางล้างหน้า
ทว่าในใจของฝานหลิวซื่อกลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย นางกระซิบว่า “คุณหนูรอง เรื่องที่ข้ากล่าวมานั้น…”
โจวเสาจิ่นยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว หากผู้อื่นได้ยินเข้าก็คงยุ่งยากเป็นแน่ ข้าอายุยังน้อย ซ้ำยังเป็นรุ่นเด็ก คนอื่นจะคิดเอาว่านายท่านสี่มีเจตนาแอบแฝง… หากว่านายท่านสี่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่นี้ตราบนหลังล่ะก็ ตลอดชีวิตนี้ก็อย่าได้คิดเป็นคนอีกเลย!”
ชาติก่อน นางเคยได้รับความระทมทุกข์เช่นนี้มาก่อน
ชีวิตนี้ นางจะทนยอมให้เฉิงฉือได้รับความทุกข์ใจเหมือนที่นางเคยได้รับได้อย่างไร
ความรู้สึกนั้นยากจะหักห้ามกันได้… หากว่าคนผู้หนึ่งแม้ชื่อเสียงของตนก็ไม่ต้องการแล้ว นางยังจะเอาอะไรไปสงสัยว่าผู้อื่นชมชอบที่หน้าตาของนางหรือตัวนาง
แต่ต่อให้ชมชอบที่หน้าตาของนางแล้วอย่างไร
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่โจวเสาจิ่นรู้สึกจิตใจสงบเช่นนี้
นางแนะนำฝานหลิวซื่อต่ออีกว่า “ไม่ว่าท่านน้าฉือจะมีความคิดเช่นไร ทว่าสิ่งดีๆ ที่เขามีต่อพวกเราเจ้ามิอาจทำเป็นไม่เห็นได้! หากมิใช่เพราะท่านน้าฉือ ข้าจะหนีพ้นเงื้อมมือของเฉิงสวี่ไปได้อย่างไร เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ข้าก็ซาบซึ้งบุญคุณของเขาไปชั่วชีวิตแล้ว เจ้าเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่มิใช่หรือว่า ข้าถึงวัยปักปิ่นแล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกเรือนแล้ว ท่านน้าฉือเป็นเพียงญาติที่เกี่ยวดองกับพวกข้า เนื่องด้วยสายสัมพันธ์ฉันญาติกับท่านพี่ ข้าจึงเรียกเขาว่า ‘ท่านน้า’ ได้ ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่กับท่านพ่อ เขายังจะมายุ่งเรื่องแต่งงานของข้าได้อยู่หรือ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ข้ารู้จักวางตัวอยู่ในขอบเขตดี”
สิ่งดีๆ ที่เฉิงฉือมีให้พวกนาง ฝานหลิวซื่อเองก็มิอาจปฏิเสธได้
หลานชายร่วมสายโลหิตของตนถูกโจวเสาจิ่นสั่งสอนไปคำรบหนึ่ง เขามิได้ว่าอะไร หนำซ้ำยังไปขอขมาลาโทษนายท่านด้วยตนเอง
นางเชื่อสายตาตนเอง
ก่อนที่พวกนางจะไปเป่าติ้ง นายท่านสี่มิได้มีความคิดที่ไม่เหมาะสมต่อคุณหนูรองแต่อย่างใด
หาไม่แล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะต้องรู้อย่างแน่นอน
นางนึกถึงภาพฉากที่ตนเห็นเมื่อครู่
ผิวขาวกระจ่างปานหิมะแรก ดวงหน้าพริ้มเพราราวบุปผา องเอวแบบบาง สะโพกงอนงาม เมื่อพิศดูจากข้างหลัง ละม้ายคล้ายผีผาที่แกะสลักจากหยกก็ไม่ปาน… สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้เท่านั้น นางเห็นแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ
นายท่านสี่ก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง
บางทีอาจจะถูกผีสิงจนสติเลอะเลือนไปชั่วขณะก็เป็นได้…
ฝานหลิวซื่อครุ่นคิด
อย่างไรเสียเขาก็ต้องกังวลถึงชื่อเสียงอยู่บ้างกระมัง
ยิ่งกว่านั้นเขาเป็นคนของจวนหลักแห่งซอยจิ่วหรู หากว่านางป่าวประกาศออกไปจริงๆ มีแต่จะทำให้จวนหลักขุ่นเคือง หากเกิดความขุ่นเคืองขึ้นมา เกรงว่าแม้แต่นายท่านก็ต้องลำบากไปด้วยแล้ว
จากนี้ไปขอเพียงนางจับตาดูคุณหนูรองให้มากขึ้นสักหน่อย นายท่านสี่ยังจะกล้าดึงดันต่อไปได้อยู่หรือ
ฝานหลิวซื่อตัดสินใจแล้ว จิตใจก็สงบลงมาเล็กน้อย กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรองวางใจเถิด ข้าจะไม่พูดจาเลื่อนเปื้อนแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเป็นแม่นมของข้า ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีกับข้า เมื่อก่อนข้ายังเป็นเด็ก มีเรื่องอะไรก็มาไม่ถึงข้า แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน พวกเราเข้ามาอาศัยอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน ก็เหมือนเป็นคนร่วมหัวจมท้ายด้วยกันแล้ว บางเรื่องก็ต้องระวังเอาไว้ หากว่าฮูหยินรู้เข้าเพียงทำให้คนอื่นเห็นเรื่องชวนขัน แต่หากท่านพี่ล่วงรู้ด้วยละก็ มีแต่จะกังวลใจอย่างเงียบๆ ส่วนท่านพ่อทางด้านโน้น คงไม่อาจให้เขาทำลายอนาคตของตนด้วยเรื่องของข้าหรอกกระมัง”
ฝานหลิวซื่อรีบพยักหน้าไม่หยุด รู้สึกกระดากอายอยู่ในใจหลายส่วน
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง กล่าวสำทับนางอีกว่า “ผู้ใดบ้างไม่เคยมีเวลาที่รู้สึกกระดากอาย ท่านน้าฉือยังแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ พวกเราก็อย่าไปสร้างเรื่องให้ยุ่งยากขึ้นเลย เจ้าก็เคยอาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูมาก่อน คนจากตระกูลใหญ่โตสูงศักดิ์ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องสอบถามให้กระจ่างหมดทุกอย่าง เช่นนั้นยังจะมองหน้ากันได้อยู่หรือ เรื่องแบบนี้หากแพร่งพรายออกไป ข้ายังจะเหลือเกียรติได้อยู่หรือ”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ฝานหลิวซื่อรีบกล่าว “คุณหนูรองวางใจเถิด ข้ารู้แล้วว่าสมควรทำเช่นไร”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า ตรงหว่างคิ้วมีความอ่อนโยนจากก่อนหน้าฟื้นคืนมา
ฝานหลิวซื่อเห็นแล้วลอบรู้สึกประหลาดใจ
เสี่ยวถานนำสาวใช้เด็กเข้ามาช่วยโจวเสาจิ่นทำผม
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่หน้าโต๊ะคันฉ่องมองดูดวงหน้าน้อยๆ อันงดงามของตนพร้อมกับปรึกษาเสี่ยวถานว่า “…จะรวบเป็นมวยต่ำหรือ ดูเรียบง่ายเกินไปหน่อยหรือไม่ ลองทำทรงผมอื่นดูบ้างได้หรือไม่”
เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนมีทรงผมให้เลือกน้อยยิ่งนัก!
เสี่ยวถานเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “วันนี้คุณหนูรองอยากจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ อยากทำทรงผมอะไร ศีรษะของคุณหนูรองเล็ก หากไม่อยากรวบเป็นมวยต่ำ เช่นนั้นก็เกล้าเป็นมวยคู่แล้วกัน จะได้ปักปิ่นไข่มุกรูปใบแปะก๊วยคู่นั้นที่ต้ากูไหน่ไนมอบให้ท่านได้พอดีเลยเจ้าค่ะ”
ทำไมต้องให้นางทำผมเป็นมวยคู่ตลอดเวลาด้วย
สิ้นปีนี้นางจะเข้าพิธีปักปิ่นและเป็นหญิงสาวคนหนึ่งแล้วนะ!
โจวเสาจิ่นหัวเราะ เหอะๆ อยู่ในใจ ถามขึ้นว่า “เกล้าเป็นมวยห่วงคู่หรือมวยลายก้นหอยคู่แทนได้หรือไม่”
อย่างไรก็ตามทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นทรงผมของเด็กสาว
เสี่ยวถานกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นท่านอยากจะทำทรงผมอะไรกันแน่เจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกถอดใจ ตอบไปว่า “เช่นนั้นก็เกล้าเป็นมวยคู่แล้วกัน”
ทรงผมนี้เข้ากับนางมากกว่า
เสี่ยวถานเม้มปากกลั้นยิ้ม มวยผมนาง แล้วช่วยนางปักปิ่นไข่มุกรูปใบแปะก้วยคู่นั้นที่โจวชูจิ่นมอบให้นาง
โจวเสาจิ่นเลือกสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีกลีบบัวลายเรียบๆ กับกระโปรงจับจีบสิบสองจีบสีชมพูปักลายดอกไม้มงคล พรมน้ำดอกกุหลาบเล็กน้อย แล้วจึงเรียกจี๋เสียงเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถามว่า “เจ้าไปดูว่านายท่านสี่ตื่นแล้วหรือยัง”
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่นางกำลังอาบน้ำอยู่ชุนหว่านได้ให้จี๋เสียงรายงานนางแล้วว่า นายท่านสี่ทราบว่านางตื่นแล้ว จึงกลับห้องไปนอนพักผ่อน
จี๋เสียงรับคำแล้วออกไป
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่หน้าโต๊ะคันฉ่องพินิจดูตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็หยิบกำไลทองสลักลายดอกโบตั๋นวิจิตรคู่หนึ่งจากกล่องใบเล็กมาสวมใส่ แล้วจึงรู้สึกว่าแต่งกายประทินโฉมได้เสร็จสมบูรณ์ นางหยิบพัดผ้าไหมสีขาวนวลทรงกลมลายดอกกล้วยไม้อันหนึ่ง แล้วไปที่ห้องครัว
ห้องครัวยังมีน้ำแกงเก่าเหลืออยู่
โจวเสาจิ่นบอกให้ต้มน้ำแกงฟักเขียวหม้อหนึ่ง
สักพักห้องครัวก็ยุ่งวุ่นวายขึ้นมา
ไม่นาน จี๋เสียงก็มารายงานว่า “นายท่านสี่ตื่นแล้วเจ้าค่ะ”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน