นางมองพี่สาว
บนใบหน้าของโจวชูจิ่นเต็มไปด้วยอาการรอคอยอย่างกระวนกระวายใจ ความคาดหวังนั้นตกอยู่ในดวงตาของโจวเสาจิ่น ทว่าฉับพลันกลับทำให้นางรู้สึกเศร้าเล็กน้อย นางแสร้งทำอะไรก็ไม่รู้ ยกถ้วยน้ำแกงขี้นมา แล้วดื่มหมดในอึกเดียว
โจวชูจิ่นเห็นดังนั้น ก็ยิ้มอย่างเบิกบาน
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย
เป็นครั้งแรกที่นางเห็นพี่สาวยิ้มอย่างเบิกบานขนาดนี้
หากว่าเช่นนี้สามารถทำให้พี่สาวมีความสุขได้ เหตุใดนางจะไม่ทำมันเล่า?
โจวเสาจิ่นยิ้มขณะยื่นถ้วยส่งคืนให้ฉือเซียง
โจวชูจิ่นจับมือของน้องสาวเอาไว้ กล่าวขึ้นอย่างเอาใจใส่เจือร้อนรนเล็กน้อยว่า “วันนี้พวกเรานอนด้วยกันดีหรือไม่”
นับตั้งแต่โจวเสาจิ่น ‘ป่วย’ เป็นต้นมา นางแทบจะอยู่เป็นเพื่อนโจวเสาจิ่นทุกคืน ต่อมาโจวเสาจิ่นเกิดความแคลงใจเกี่ยวกับชะตาของตัวเอง หาข้ออ้างได้ข้อหนึ่ง สองพี่น้องถึงได้แยกกันนอนของใครของมัน
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้ารับ
พวกนางชำระร่างกายแล้วก็ขึ้นเตียง
โจวเสาจิ่นดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงหัวไหล่อย่างเรียบร้อย ทว่าโจวชูจิ่นกลับเอนตัวลงบนหมอนหนุนใบใหญ่ที่หัวเตียงแล้วพูดคุยกับนาง “ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้านอนทั้งวัน? เป็นเช่นนี้ไม่ดีนัก อย่างไรก็ตามแต่ ต้องกินอะไรบ้าง เวลาล่วงเลยนานเข้า อาการหิวเล็กน้อยก็อาจทำให้เจ็บป่วยได้ เจ้าแต่เดิมร่างกายก็อ่อนแออยู่แล้ว ย่อมรับไม่ไหวหากอาการแย่ลงอีก” ยังกล่าวอีกว่า “ให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานซื้อหนังสือสักสองสามเล่มมาให้ผ่อนคลายดีหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าหม่าเจี้ยหยวนออกบทกวีชุดใหม่ ผู้คนในเจียงหนานต่างยื้อแย่งกันซื้อ คิดว่าคงจะไม่เลวเลยทีเดียว”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นแต่เดิมก็เป็นคนพูดน้อย ชื่นชอบการอยู่เงียบๆ ไม่ชอบกิจกรรมเคลื่อนไหว บางครั้งก็อยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหนทั้งวัน นางไม่รู้สึกว่าการเป็นแบบนี้นั้นไม่ดี “ข้าอยู่ในห้องนอนหลับได้ หรือพูดคุยกับพวกซือเซียง ก็ผ่านไปหนึ่งวันแล้วเจ้าค่ะ”
ทว่าโจวชูจิ่นกลับไม่คิดเช่นนี้
น้องสาวเป็นคนเรียบง่าย เปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนเล่าให้นางฟังทุกอย่าง รวมถึงเรื่องที่เฉิงลู่ให้คนแอบส่งของมามอบให้นางก็ถูกนางเล่าให้ฟังแล้วหลายครั้ง หลังจากนั้น ทุกครั้งที่เฉิงลู่ส่งของมามอบให้นาง นางก็ยังคงเอามาเล่าให้ตนเองฟังทุกครั้ง นับประสาอะไรกับที่หลายวันมานี้ ตนเองทั้งให้นาง ‘ป่วย’ ทั้งเผายันต์กระดาษที่ห้องของนาง ทั้งให้นางดื่มน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ นางไม่ใช่คนโง่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึก ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ในใจจะไม่มีความขุ่นข้องใจเลยสักสาย ทว่าตั้งแต่ต้นยันจบ นางกลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
โจวชูจิ่นอดไม่ได้ยืดตัวขึ้น จ้องที่ดวงตาของโจวเสาจิ่นกล่าวว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นนั้นพูดได้ว่าตั้งแต่เล็กก็เติบโตมากับการดูแลของพี่สาว สิ่งที่นางกลัวที่สุดคือการทำให้พี่สาวเสียใจ ถัดมาคือกลัวใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มและดูจริงจังของพี่สาว ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่เมื่อคิดถึงความดีที่พี่สาวมีต่อตนเองแล้ว การที่ถูกพี่สาวมองแบบนี้ นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“ไม่มีเจ้าค่ะ” นางกล่าวสั้นๆ “ข้าไม่มีเรื่องอะไรปิดบังท่านพี่เจ้าค่ะ”
ทว่ายิ่งนางเป็นแบบนี้ โจวชูจิ่นก็ยิ่งสงสัย
สายตานางเจ้าเล่ห์ขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “เสาจิ่น ท่านแม่ไม่อยู่แล้ว ท่านพ่อก็ไม่ได้อยู่ข้างกายพวกเรา พวกเราพี่น้องควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันถึงจะถูก หากเจ้ามีเรื่องอะไรก็อย่าปิดบังข้า” คิดๆ แล้ว ก็กล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้าดูเมื่อครั้งก่อนที่เจ้าทำพิณของอู่ซือฟู่พังโดยไม่ตั้งใจนั้น เจ้ากลับมาก็เล่าให้พี่สาวฟัง พี่สาวคิดหาหนทางเสียแต่เนิ่นๆ ไม่เพียงหาพิณที่ใกล้เคียงกับพิณของอู่ซือฟู่คืนทดแทนให้กับอู่ซือฟู่ ในขณะที่อู่ซือฟู่ยังไม่ทราบเรื่องนั้น ยังพาเจ้าไปกล่าวคำขอโทษต่ออู่ซือฟู่ก่อนด้วยตัวเอง อู่ซือฟู่ไม่เพียงไม่ตำหนิเจ้า ยังกล่าวชื่นชมเจ้าที่มีน้ำใจอย่างล้นเหลือ มีคุณสมบัติของผู้มีคุณธรรม มองเจ้าด้วยอีกมุมมองหนึ่ง และมักจะชี้แนะทักษะการดีดพิณให้เจ้าเป็นการส่วนตัวอยู่บ่อยๆ เจ้าในตอนนี้ดีดพิณได้ดีกว่าน้องสาวเจียมากนัก เจ้าลืมไปแล้วหรือ”
โจวเสาจิ่นจะลืมได้อย่างไร
เพราะเรื่องนี้ เจียงซื่อ มารดาของเฉิงเจียยังแอบไปตำหนิอู่ซือฟู่ ผู้ที่สอนพวกนางดีดพิณว่าลำเอียง
ทว่าหลังจากเรื่องนี้ นางไม่เพียงได้รับคำชื่นชมจากอู่ซือฟู่เท่านั้น ยังได้รับคำชื่นชมจากท่านยาย ท่านป้าใหญ่ ท่านลุงใหญ่ และพวกพี่ชายด้วย เพราะเรื่องนี้ ท่านยายยังมอบจี้หยกที่ทำจากหยกหยางจือ [1] ทั้งชิ้นให้นางเป็นรางวัลหนึ่งชิ้น ท่านป้าใหญ่มอบเครื่องประดับผมจูฮวา [2] ให้นางหนึ่งคู่ ท่านลุงใหญ่ และพวกพี่ชายส่งกระดาษ พู่กัน และหินหมึกมาให้
นางโตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำชื่นชมมากขนาดนี้ และยังเป็นครั้งแรกที่นางเอาชนะเฉิงเจียได้
ทว่าสิ่งที่นางอยากจะทำนั้นไม่อาจบอกกับพี่สาวได้จริงๆ!
แล้วจะทำอย่างไรดี!
โจวเสาจิ่นรีบลุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ร้องขึ้น “ท่านพี่” แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่มีเรื่องอะไรปิดบังท่านจริงๆ เจ้าค่ะ”
“จริงหรือ!” โจวชูจิ่นไม่เชื่อ ดวงตาที่เห็นสีดำขาวได้เด่นชัดคู่นั้นเบิกกว้างขึ้น มองที่โจวเสาจิ่นอย่างเงียบๆ
โจวเสาจิ่นคิดถึงพี่สาวที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนแต่ไปไม่ถึงดวงตาและนิสัยที่กัดไม่ปล่อยแล้ว ทันใดก็รู้สึกหนังศีรษะลุกซู่ มุมปากเปิดๆ ปิดๆ ได้สักพักหนึ่ง จำต้องทิ้งหัวทิ้งท้าย เลือกทางที่ไม่กดดันจนเกินไป “ข้าได้ยินมาว่าที่เรือนท่านยายจะมีแขกมาในสองวันนี้ อยากทราบว่าเป็นผู้ใดจะมาเยี่ยมท่านยายเจ้าคะ ช่วงนี้ข้ากำลังป่วยอยู่ ไม่รู้ว่าจะเป็นการทำให้ท่านพี่ต้องมาอยู่ด้วยแล้วไม่อาจไปพบแขกได้?”
โจวชูจิ่นอดไม่ได้หัวเราะร่วนขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าเป็นกังวลด้วยเรื่องนี้หรือ” ขณะที่นางพูด ก็อดไม่ได้ลูบศีรษะโจวเสาจิ่นไปด้วย “คนที่คิดจะมาพบท่านยายนั้น แปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนมาด้วยเรื่องร้องขอต่อจวนหลักและจวนรอง ไม่พบก็ไม่เป็นอะไร ดีเสียอีกข้าจะได้มีเวลาว่าง อยู่เรือนเป็นเพื่อนเจ้า”
นี่เป็นเรื่องจริง
ท่านยายเป็นที่เคารพและเข้มแข็งได้ด้วยตัวเอง เป็นแม่หม้ายที่เลี้ยงดูบุตรชายบุตรสาวสามคนจนเติบใหญ่ ทั้งยังประสบความสำเร็จ บุตรชายคนโตได้เป็น จวี่เหริน [3] บุตรชายคนรองได้เป็น ถงจิ้นซื่อ [4] ท่านบรรพบุรุษแห่งตระกูลเฉิงจวนรอง นายท่านใหญ่แห่งจวนหลักล้วนเคารพนับถือนางเป็นอย่างมาก บางคนที่ไม่อาจเข้าจวนหลักและจวนรองเพื่อร้องขอความช่วยเหลือได้ ก็จะเปลี่ยนมาขอเข้าพบท่านยายแทน โชคดีที่ท่านยายเป็นคนหลักแหลม เรื่องที่ไม่สำคัญก็จะไม่ให้การตอบรับ
โจวเสาจิ่นเองก็อดไม่ได้หัวเราะร่วนขึ้นมาทีหนึ่ง
บรรยากาศระหว่างสองพี่น้องคล้ายกับน้ำแข็งที่ละลาย มีความอบอุ่นอยู่หลายส่วน
โจวชูจิ่นจึงกล่าวต่อจากหัวข้อก่อนหน้า “เจ้าก็ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ว่าคนที่มานั้นจะเป็นผู้ใด หากท่านยายมีความประสงค์ให้พวกเราเข้าพบด้วย ย่อมต้องบอกพวกเราก่อนล่วงหน้า หากรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ย่อมไม่ให้พวกเราออกไปพบแขก พวกเราเพียงรอฟังจากท่านยายก็พอแล้ว”
นางในช่วงหลายวันมานี้จิตใจไม่สงบ กระวนกระวาย เหมือนกับที่พี่สาวได้ยินมา เป็นเพราะสูญเสียเหตุผลที่ควรมีในยามปกติไป
หากว่านางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งจริงๆ นับจากตอนนี้ถึงช่วงเวลาที่ตระกูลเฉิงจะถูกตรวจสอบยึดทรัพย์และลงโทษนั้นยังเหลืออีกสิบสามปี นางไม่จำเป็นต้องรีบร้อนพิสูจน์ความจริงขนาดนี้ หากว่านางเพียงฝันร้ายไป ตื่นจากฝัน ก็ดีแล้ว ยิ่งไม่ต้องรีบร้อนวู่วามขนาดนี้
นางอดไม่ได้กอดแขนของพี่สาวเอาไว้แน่น กล่าวว่า “ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ! ข้าทราบแล้ว” เสียงนั้น จริงใจราวกับกำลังไถ่บาปให้ตัวเองอยู่ ทำให้ภายในจิตใจของโจวชูจิ่นไม่สงบนัก อยากจะถามให้ละเอียด โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นเสียก่อนว่า “ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ของจวนท่านเจ้าเมืองอู๋มีปานแดงอยู่ตรงระหว่างคิ้วดวงหนึ่ง ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ในงานวันมหาวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของท่านบรรพบุรุษ ท่านเจ้าเมืองก็น่าจะมาร่วมแสดงความยินดีด้วย? ไม่รู้ว่าฮูหยินอู๋จะพาคุณหนูใหญ่ของจวนอู๋มาร่วมแสดงความยินดีด้วยหรือไม่”
โจวชูจิ่นมีอายุเพียงสิบแปดปี ถูกเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอของสตรี ยังไม่มีสายตาที่เฉียบแหลมอย่างผู้ใหญ่ เมื่อได้ยินดังนั้น คิดเพียงว่าน้องสาวกำลังตื่นเต้น จึงหัวเราะพลางกล่าว “ถึงยามนั้นข้าจะสอบถามท่านป้าใหญ่ หากว่าฮูหยินอู๋พาคุณหนูใหญ่ของจวนอู๋มาแสดงความยินดีด้วย ข้าจะชี้ให้เจ้าดูอย่างแน่นอน”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
ในความทรงจำของนางนั้น ยามถึงวันงานเลี้ยงวันนั้น อู๋เป่าจางถูกจัดให้นั่งอยู่ด้วยกันกับพี่สาว

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน