ขอเพียงได้อยู่กับเฉิงฉือ สำหรับโจวเสาจิ่นจะไปที่ใดก็ได้ทั้งนั้น
ทั้งสองคนค่อยๆ เดินไปตามเส้นทางภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ร่มรื่นมุ่งไปข้างหลังภูเขา
เดือนสี่เป็นฤดูที่ดีที่สุดในจิงเฉิง ท้องนภาสดใสไร้เมฆหมอก ภูผาเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าไม่รู้นามบานสะพรั่งหลากสีสันสวยงามละลานตา หมู่ผีเสื้อโบยบินท่ามกลางมวลบุปผา หมู่ภมรบินว่อนวุ่นกับการเก็บน้ำผึ้ง สายน้ำกลางหุบเขาส่งเสียงซู่ซ่าไม่ขาดสาย
โจวเสาจิ่นไม่เคยรู้มาก่อนว่าทิวทัศน์ด้านหลังภูเขาของวัดต้าเซียงกั๋วจะงดงามถึงเพียงนี้
เฉิงฉือชี้หินครามก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งข้างทาง กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น นั่งพักสักหน่อย”
น้อยครั้งนักที่โจวเสาจิ่นจะเดินนานขนาดนี้ บนตัวมีเม็ดเหงื่อผุดซึมบางๆ
นางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” อย่างเชื่อฟัง จับมือของเฉิงฉือไว้แล้วนั่งลงบนหินครามก้อนใหญ่
ข้างหินครามก้อนใหญ่มีต้นตั๊กแตนเก่าแก่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาต้นหนึ่ง เสมือนกางร่มเหนือศีรษะของนางอย่างไรอย่างนั้น มีสายลมยามเช้าโชยผ่านยอดไม้ เย็นสบายเหลือแสน เมื่อทอดตามองออกไป จะเห็นเจดีย์ขาวที่อยู่หลังเขากับกระเบื้องหลังคาสีทองของพระอุโบสถวัดต้าเซียงกั๋วได้ ยามอยู่ท่ามกลางต้นไม้เขียวชอุ่ม มีความสงบวิเวกบางอย่างราวกับเป็นอีกโลกหนึ่งก็ไม่ปาน
เฉิงฉือแย้มรอยยิ้มให้นาง กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นที่ที่ข้าพบโดยบังเอิญตอนที่มาวัดต้าเซียงกั๋วเป็นครั้งแรก ถ้าเจ้าชอบก็ดี!”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
ตรงหว่างคิ้วของเฉิงฉือมีความกระหยิ่มใจสายหนึ่งวาบผ่าน เขากล่าวยิ้มๆ เสียงนุ่มนวลว่า “เจ้านั่งอยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะไปตักน้ำมาให้เจ้าดื่ม! ก่อนหน้านี้คาดไม่ถึงว่าจะเดินขึ้นเขา จึงไม่ได้ตระเตรียมอะไรให้เจ้า”
ต่อให้ทัศนียภาพตรงนี้สวยงามเพียงใด แต่หากไม่มีท่านน้าฉืออยู่ด้วย นางก็รู้สึกหวาดกลัวที่ต้องอยู่ตามลำพัง
“ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ” นางเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียดเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่บนหินคราม จึงสูงเท่ากับเฉิงฉือที่ยืนอยู่
เฉิงฉือกอดนางเบาๆ พลางชี้ไปข้างหลังนาง “เจ้าดูสิ ทางด้านโน้นมีลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง ข้าเพียงไปที่นั่นเท่านั้น!”
สีหน้าของโจวเสาจิ่นถึงได้ผ่อนคลายลงมา
นางทนอยู่ห่างจากตนไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ
เฉิงฉือคาดไม่ถึงเล็กน้อย แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
หาไม่แล้วนางก็คงไม่กล้าปฏิเสธซ่งมู่
น้ำหนักของตนในใจของนาง… อาจจะมีน้ำหนักว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีกก็เป็นได้!
ในตอนนี้เฉิงฉือกลับรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย
หากว่าในตอนนั้นเสาจิ่นไม่กล้าปฏิเสธซ่งมู่ หรือซ่งมู่เหตุเพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือเสาจิ่น ส่วนเขาก็มอบเสาจิ่นให้ผู้อื่นไปอย่างนี้… นางจะเหี่ยวเฉาเหมือนดอกไม้หรือไม่นะ
เขาคิดแล้วก็รู้สึกพรั่นกลัว
น้ำเสียงที่พูดกับโจวเสาจิ่นจึงอ่อนโยนขึ้นหลายส่วนแม้กระทั่งตนเองยังไม่สังเกต “เป็นเด็กดี นั่งอยู่ตรงนี้อย่าขยับไปไหน ระวังจะลื่นล้มนะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ แล้วนั่งลงไปอย่างเชื่อฟัง ท่าทางนั้น เสมือนบอกให้เชื่อฟังมากเท่าไรก็เชื่อฟังมากเท่านั้น
ราวกับเป็นก้อนแป้งในมือของเขาก็ไม่ปาน เขาอยากจะบีบนวดอย่างไรก็บีบนวดได้อย่างนั้น
เฉิงฉือห้ามใจไม่อยู่ โอบกอดนางขณะที่ปากก็ประกบลงบนริมฝีปากของนาง
ความรู้สึกอ่อนหวานนุ่มละมุนแต่เจือความเย็นเยือกหลายส่วนประดังเข้ามาในหัว เขาถึงฉุกคิดได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
เฉิงฉือก่นด่าตนเองในใจคำหนึ่ง
เขารีบเงยหน้าขึ้นมา แล้วหอมแก้มนางทีหนึ่ง พร้อมกับกระซิบว่า “เสาจิ่น เป็นเด็กดี แล้วนั่งอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นางมิได้ทำอันใดเลย กลางวันแสกๆ อย่างนี้ ทำไมท่านน้าฉือถึงได้จูบนางเล่า
จนกระทั่งเฉิงฉือปล่อยตัวนาง นางถึงได้ดึงสติกลับมา ด้วยนิสัยที่อ่อนน้อมเชื่อฟังทำให้นางพึมพำว่า “อืม” เสียงหนึ่ง แล้วหลุบเปลือกตาลง
เฉิงฉือเห็นนางไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมากนัก ในใจยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจ จึงลูบศีรษะของนาง
โจวเสาจิ่นช้อนตาขึ้นมาแล้วตวัดสายตามองเขาครั้งหนึ่ง
ดวงหน้าของเขาเผยให้เห็นร่องรอยผ่อนคลายและเบิกบานใจหลังจากที่รู้สึกอิ่มเอมเปรมใจ
เป็นเพราะจูบนางอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นหวนนึกถึงตอนที่เฉิงฉือกดตัวนางบนบานประตูแล้วรังแกนางคราวก่อน… เขาก็ดูมีความสุขมากเช่นกัน
ฉับพลันดวงหน้าของนางก็ร้อนซู่ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาแม้นิดเดียว
เฉิงฉือเห็นโจวเสาจิ่นก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย หัวใจของเขาเสมือนเต้นผิดจังหวะ รู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย
เสาจิ่น… เริ่มคุ้นชินกับเขาทีละนิดแล้วใช่หรือไม่
เฉิงฉือหมุนกายไปยังลำธาร
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งอารมณ์ถึงได้สงบลงมา
ต่อให้เขาได้ยินเรื่องเรือสำเภาของสิบสามห้างก่วงตงจมในทะเลคราวก่อนก็ยังไม่รู้สึกกระวนกระวายถึงเพียงนี้ ไม่สิ ต้องบอกว่า เขาไม่เคยรู้สึกกระวนกระวายขนาดนี้มาก่อน
ฝีเท้าของเฉิงฉือเบาและว่องไวยิ่งขึ้นอย่างยากจะระงับ
บริเวณข้างลำธารเล็กเหมือนดังในความทรงจำของเขา มีใบบัวหลวงลอยอยู่เหนือน้ำหลายใบ เพียงแต่ใบบัวเหล่านั้นเขียวชอุ่มกว่าตอนที่เขายังเป็นเด็กเล็กน้อย
จู่ๆ เฉิงฉือก็นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ‘แตกกิ่งก้านสาขา’ คำนี้ขึ้นมา
เขายิ้มพลางส่ายศีรษะ เด็ดใบบัวใบหนึ่งมาล้างจนสะอาด แล้วรองน้ำเดินกลับมา
เงาวูบวาบเป็นวงๆ กลางป่าทอดบนดวงหน้าของเขา โจวเสาจิ่นมองเห็นความเปรมปรีดิ์ที่อาบเอิบบนใบหน้าอันหล่อเหลาและดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน
นางเม้มปากกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่แล้วคลี่ยิ้มออกมาตามไปด้วย
ท่านน้าฉือบอกว่านางต้องไม่เผยสีหน้าอารมณ์ออกมาบนใบหน้า แต่เขากลับ… ทำให้คนอื่นมองเห็นแวบเดียวก็รู้ว่าเขามีความสุขเหลือล้นเสียเอง
ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นก็นึกถึงถ้อยคำที่พ่อค้าขายธูปบูชาพระคนนั้นกล่าวไว้เมื่อครู่ขึ้นมา
ท่านน้าฉือ… เป็นบิดาหรือน้าของนาง… ตอนนั้นท่านน้าฉือจะต้องโกรธอยู่ในใจอย่างแน่นอน… หาไม่แล้วเขาจะไม่เก็บมาใส่ใจขนาดนั้น… เกรงว่าทั้งชีวิตของท่านน้าฉือคงไม่เคยอับอายขายหน้าถึงเพียงนั้นมาก่อน
รู้ทั้งรู้ว่าควรจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย ทว่าโดยที่อธิบายไม่ได้ ขอเพียงนางนึกถึงว่าเป็นเพราะนางท่านน้าฉือถึงอับอายขายหน้าได้ขนาดนี้ นางก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ในใจรู้สึกหวานหยดย้อยอย่างยากจะระงับคล้ายกับกินน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น
โจวเสาจิ่นเอามือปิดปาก
เฉิงฉือที่เดินเข้ามาใกล้เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “มีเรื่องอะไรถึงได้ดีใจขนาดนี้”
โจวเสาจิ่นย่อมไม่บอกเขาเป็นธรรมดา รีบตอบว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะๆ!”
เฉิงฉือเห็นนางดูมีความสุข ย่อมไม่ซักไซ้ให้มากความเช่นกัน ยกใบบัวที่รองน้ำอยู่ขึ้นมาใกล้ปากของนาง พลางเอ่ยเสียงนุ่มว่า “มาสิ ดื่มสักหน่อย ระวังด้วยนะ”
โจวเสาจิ่นไม่อยากดื่ม แต่นางกระหายน้ำเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เป็นคนมาสองชาติภพ นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางใช้ใบบัวรองน้ำเพื่อดื่ม



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน