ปลากระรอกรสเปรี้ยวหวานอร่อยถูกปาก กุ้งผัดชาหลงจิ่งสีสันมันวาวหอมกลิ่นอ่อนๆ หมูอบน้ำแดงหวานเค็มกลมกล่อมกลิ่นหอมยวนใจ ฟองเต้าหู้ม้วนยัดไส้ทอดกรอบนอกนุ่มใน… ในห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดของเหลาสุราฟู่ชุนเจียง บนโต๊ะกลมตัวใหญ่ที่ทำจากไม้หลีฮวาเต็มไปด้วยอาหารอันโอชา รสชาติของอาหารแต่ละจานล้วนเลิศล้ำ รับประทานแล้วหลี่ซื่อและคนอื่นๆ พูดชมกันไม่หยุดปาก
โจวเสาจิ่นที่ถือตะเกียบอยู่ กลับใจลอยเล็กน้อย
ท่านน้าฉือบอกว่าอยากแต่งงานกับนาง…
ดวงหน้าของนางซับสีแดงเรื่อจางๆ
ทว่าระหว่างนางกับท่านน้าฉือนั้น ราวกับมีหุบเหวลึกสายหนึ่งคั่นกลางอยู่ก็ไม่ปาน อยากจะแต่งงานครองเรือนกันนั้นเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก
ท่านน้าฉือก็คงจะรู้เหมือนกันกระมัง
ไม่ต้องพูดถึงสองปีเลย แม้ต้องรอตลอดชีวิต นางก็ยอมรอ
เกรงว่าสิ่งที่นางรอคอยนั้นมิใช่การแต่งงานที่น่าปลาบปลื้มยินดี แต่เป็นคำครหาและประณามอย่างมืดฟ้ามัวดิน
หากเพียงแค่ตัวนางเอง นางไม่มีอะไรให้ต้องหวั่นเกรง
กลัวแต่ว่าจะทำร้ายท่านน้าฉือไปด้วย ขอเพียงเขาเอ่ยถึงเรื่องที่อยากแต่งงานกับตนต่อคนของตระกูลเฉิง จะต้องสร้างความปั่นป่วนโกลาหลในตระกูลเฉิงอย่างแน่นอน ด้วยนิสัยของท่านน้าฉือ ย่อมต้องวางแผนเอาไว้นานแล้ว ถ้าหากท่านน้าฉือประสบความสำเร็จ แปดถึงเก้าในสิบส่วนท่านน้าฉือจะต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนมากเป็นแน่ แต่หากท่านน้าฉือล้มเหลว อาจจะถูกตระกูลเฉิงลบชื่อออกจากตระกูลก็เป็นได้
คนเราหาได้มีชีวิตอยู่เพียงอย่างเดียวก็พอ
ต้องการทั้งมิตรสหาย ความมั่งคั่งและฐานะทางสังคม
ถ้าหากท่านน้าฉือสิ้นเนื้อประดาตัว จะมีความสุขอยู่หรือไม่
เหตุเพราะชมชอบคนผู้หนึ่งนางจะปล่อยให้เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อนางได้อย่างไรเล่า
โจวเสาจิ่นมองไปทางด้านนอกที่เฉิงฉืออยู่
ฉากกั้นไม้กฤษณาฉลุลายเด็กน้อยเล่นกันบังแนวสายตาของนาง นางมองไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของเฉิงฉือเลยสักนิด
นางนึกถึงแววตาและสีหน้าที่ดูสงบนิ่งแต่แน่วแน่ขณะที่เฉิงฉือบอกว่าอยากแต่งงานกับนาง ในใจก็รู้สึกขวยเขินระคนหวานฉ่ำ
เป็นนางเองที่โง่เขลา เหตุใดจึงคิดว่าท่านน้าฉือเพียงชมชอบที่หน้าตาอันงดงามของนางเล่า
แม้ว่านางจะงามสะคราญเพียงใด ก็ไม่ถึงกับไร้ผู้แทนที่ได้
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาของท่านน้าฉือ หากเพียงต้องการแสวงหาหญิงสาวรูปงามสักคนหนึ่ง ไฉนจนถึงวันนี้ก็ไม่มีสาวใช้ข้างห้องแม้คนเดียวเล่า
แต่ไรมาท่านน้าฉือปฏิบัติต่อนางอย่างสัตย์ซื่อและจริงใจ
นึกถึงตรงนี้ นางกัดริมฝีปากแล้วตัดสินใจอย่างเงียบๆ
เสียง เคร้ง ดังขึ้นเสียงหนึ่ง มีของบางอย่างตกข้างหน้านาง
นางตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อมองดูดีๆ กลับเป็นถั่วลิสงคั่วเกลือที่โจวโย่วจิ่นใช้ตะเกียบคีบตกลงบนโต๊ะแล้วกระเด็นเข้าถ้วยของนาง
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า แล้วลูบศีรษะของโจวโย่วจิ่น
หายากนักที่นางจะแสดงสีหน้าอารมณ์ออกมาถึงเพียงนี้
โจวโย่วจิ่นมุดหลบในอ้อมอกของหลี่ซื่ออย่างขัดเขิน
หลี่ซื่อรีบขอโทษโจวเสาจิ่นยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย
หากเป็นน้องสาวร่วมอุทร เกรงว่าหลี่ซื่อคงไม่ขอโทษขอโพยตนเองถึงเพียงนี้เป็นแน่
เรื่องบางเรื่อง ใช่ก็คือ ‘ใช่’ ไม่ใช่ก็คือ ‘ไม่ใช่’ มิได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคน
นางยิ้มพลางกล่าวกับหลี่ซื่อว่า “คนกันเองอย่าได้พูดเหมือนเป็นอื่น ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อยิ้มน้อยๆ
เป็นการจบเรื่องนี้ลงเสีย
ทว่าจิตใจของโจวเสาจิ่นกลับไม่อาจสงบลงได้
หลังจากที่นางกลับมาแล้วก็ไปต้มน้ำแกงโสมยกไปยังห้องหนังสือของเรือนชั้นนอกด้วยตนเอง
เฉิงฉือได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็นั่งข้างหลังโต๊ะเขียนหนังสือรอนางเข้ามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “วันนี้วิ่งมาทั้งวัน ไม่เหนื่อยหรือ เรื่องพวกนี้ให้สาวใช้เด็กทำก็ได้ เจ้ารีบกลับห้องไปพักผ่อนเถอะ!”
โจวเสาจิ่นเกิดมาเป็นคนสองชาติภพ เป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องเช่นนี้ จึงอดรู้สึกประหม่าและเขินอายเล็กน้อยไม่ได้
นางกลัวเหลือเกินว่าด้วยเหตุนี้ท่านน้าฉือจะให้ความใกล้ชิดกับนางเป็นพิเศษ
คล้ายกับว่านางอดรนทนไม่ได้เลยอย่างไรอย่างนั้น
ฉะนั้นท่าทางอย่างนี้ของท่านน้าฉือจึงเหมาะสมพอดี
แม้ว่าดวงหน้าของโจวเสาจิ่นแดงระเรื่อ ทว่าสีหน้ากลับดูผ่อนคลายไม่น้อย
นางชี้ไปที่โต๊ะหนังสือตัวใหญ่ข้างหน้าเฉิงฉือ พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ยุ่งมากมิใช่หรือเจ้าคะ”
นายท่านสี่?!
เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้นสูง
ฉับพลันโจวเสาจิ่นหน้าแดงเถือกราวกับจะหลั่งโลหิตออกมา
นัยน์ตาของเฉิงฉือฉาบรอยยิ้มอย่างยากจะระงับ ทำให้ดวงหน้าของเขาเปล่งปลั่งเฉิดฉาย
โจวเสาจิ่นเขินอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา กอดถาดรองแล้ววิ่งออกไป
เฉิงฉือหัวเราะเงียบๆ ยกถ้วยตุ๋นขึ้นมาลิ้มรสคำหนึ่งอย่างช้าๆ
ระหว่างที่โจวเสาจิ่นวิ่งปรี่ออกมาจากเรือนถึงได้นึกถึงจุดประสงค์ที่มา
นางหมุนกายไปหาไหวซาน
ไหวซานได้ยินถ้อยคำของนางก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เอ่ยถามเป็นการยืนยันขึ้นว่า “ท่านบอกว่า หากนายท่านสี่เกิดความขัดแย้งกับพวกผู้อาวุโสในตระกูล ต้องแจ้งให้ท่านทราบให้จงได้อย่างนั้นหรือขอรับ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
บนดวงหน้ายังเหลือรอยแดงเรื่อจางๆ จากเมื่อครู่ กล่าวว่า “เจ้าเพียงต้องแจ้งให้ข้าทราบก็พอ ข้ากลัวว่าท่านน้าฉือจะเสียเปรียบ”
หากว่าไปถึงขั้นนั้นจริงๆ นางไม่มีทางปล่อยให้ท่านน้าฉือรับผิดชอบตามลำพังอย่างแน่นอน
อย่างมากนางจะกระโดดออกมายอมรับเสีย!
ชาติก่อนนางแต่งงานแล้วใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวได้ ชีวิตนี้นางย่อมใช้ชีวิตอยู่แต่กับพระธรรมได้ด้วยเช่นกัน
คิดๆ แล้วถ้าหากท่านน้าฉือมิได้พูดเรื่องนี้ออกมา นางก็ตั้งใจจะไม่ออกเรือนอยู่แล้วมิใช่หรือ
อย่างไรเสียก็แค่ผลลัพธ์เช่นนี้เท่านั้น นางมีอะไรให้ต้องหวั่นกลัวด้วย!
โจวเสาจิ่นตัดสินใจตามนี้
วันถัดมานางไปห้องครัวทำกับข้าวสองสามจานส่งไปให้ห้องหนังสือ ทั้งยังเปิดหีบเก็บของเตรียมผ้าที่เหมาะสมสองสามพับทำชุดฤดูหนาวให้เฉิงฉือสองสามตัว
หลี่ซื่อได้รับอานิสงส์จากเฉิงฉือกินอาหารที่โจวเสาจิ่นทำเช่นกัน พอรู้ว่าโจวเสาจิ่นต้องการตัดชุดให้เฉิงฉือจึงเข้ามาถามนางว่า “มีผ้าที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ หากว่ายังไม่มี ให้คนจากร้านฟู่รุ่ยฟางส่งผ้ามาให้สักหน่อยก็ได้ ที่นั่นเป็นร้านขายผ้าของตระกูลเดิมของข้า หากเจ้าต้องการซื้ออะไร ก็บอกให้พวกเขาส่งมาให้ได้เลย”
โจวเสาจิ่นยังคิดว่าหลี่ซื่อจะห้ามปรามนางเสียอีก จึงอดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้
หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าก็หาใช่ผู้ที่มีตาหามีแววไม่เช่นนั้น นายท่านสี่มอบลานชั้นในให้แก่พวกเราส่วนตนเองกลับพำนักอยู่ที่เรือนใต้… เพียงอาศัยความเคารพส่วนนี้ของเขา พวกเราก็ต้องต้อนรับเขาดั่งแขกผู้มีเกียรติถึงจะถูก”
ตั้งแต่วันสรงน้ำพระพุทธเจ้าเป็นต้นมา ความรู้สึกดีๆ ที่นางมีต่อเฉิงฉือฉือค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน