เพียงแต่นางเป็นหญิงสาวในห้องหอผู้หนึ่งเท่านั้น ส่วนมากล้วนเป็นข่าวลือที่ได้ยินมา จะวิพากษ์วิจารณ์ตามใจแล้วทำให้ท่านน้าฉือเสียเรื่องได้อย่างไรเล่า
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ แต่ไม่เอ่ยวาจา
ไหวซานเข้ามาแจ้งว่า “นายท่านสี่ จัดเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมออกเดินทางได้ทุกเมื่อขอรับ!”
เฉิงฉือยกยิ้มบางเบา
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับตกใจเป็นอย่างมาก เอ่ยถามเสียงหลงว่า “นายท่านสี่จะไปที่ใดเจ้าคะ”
ไม่คาดคิดว่าสีหน้าจะเผยให้เห็นร่องรอยพรั่นกลัวหลายส่วน
เสมือนเด็กน้อยที่พลัดหลงกับพ่อแม่อย่างไรอย่างนั้น
เฉิงฉือทนไม่ได้ที่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจแม้นิดเดียว รีบก้าวมากอดโจวเสาจิ่นแล้วลูบหลังของนางเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้ามาได้เวลาพอดี ข้ากำลังคิดจะไปหาเจ้า ข้าต้องกลับไปจินหลิงสักหนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็เคยบอกเจ้าแล้วว่า สถานการณ์ในตอนนี้เกิดความเปลี่ยนแปลง ต้องล่วงหน้ากลับไปสักครั้งหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็สงบใจ รีบผลักเฉิงฉือออกไป “ไหวซาน… ยังอยู่ในห้องนะเจ้าคะ!”
ดวงหน้าแดงก่ำ
เฉิงฉือยิ้มพลางคลายกอดนาง
แต่ก่อนโกรธที่เขากอดนาง ตอนนี้กลับกลัวถูกคนอื่นมาเห็น…
เขาพลันรู้สึกอารมณ์สดใสขึ้นมาในทันใด
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นกลับแดงเถือกยิ่งกว่าเดิม
ไหนเลยจะยังมีเงาร่างของไหวซานอยู่ในห้อง
หนึ่งครั้งสองครั้งถือเป็นความบังเอิญ แต่สามครั้งสี่ครั้งนั่นคือจงใจกันแล้ว
เกรงว่าคนข้างกายของท่านน้าฉือล้วนทราบเรื่องของตนกับท่านน้าฉือกันหมดแล้ว
นางก้มหน้าลงขณะเอ่ยถามว่า “ท่านจะกลับมาเมื่อใดเจ้าคะ”
มิได้ซักถามว่าเฉิงฉือไปทำอะไร… เนื่องจากเฉิงฉือมีความลับมากมาย
เฉิงฉือโน้มตัวลงมาตอบนาง สีหน้าแสดงความรักใคร่และอาทรอย่างปกปิดไม่อยู่ “ข้าจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วจะกลับมา ตอนที่กลับมาจะช่วยเอาเสวี่ยฉิวกับนกขมิ้นสองตัวนั้นมาให้เจ้าดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างเอียงอาย
หางตาคล้ายกับเห็นเงาร่างของไหวซานวาบผ่านในห้อง
เกรงว่าคงมาเร่งท่านน้าฉือให้ออกเดินทางแล้ว!
ต้องเร่งรุดเดินทางถึงเพียงนี้…
นางกระซิบว่า “เช่นนั้นท่านระวังตัวตอนเดินทางด้วยนะเจ้าคะ อย่าได้เสี่ยงชีวิตตัวเองถึงเพียงนั้น… เงินทองล้วนเป็นสิ่งของนอกกาย”
เฉิงฉือพยักหน้า แล้วลูบหน้าของนางเบาๆ พลางกล่าวว่า “เสาจิ่น ข้าจะพยายามเร่งกลับมาก่อนพิธีครบร้อยวันของกวนเกอ”
ไปนานขนาดนี้ ความหมายก็คือเรื่องไม่จบลงง่ายๆ อย่างนั้น
โจวเสาจิ่นกล่าวว่า “เร่งกลับมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตอนพิธีครบปีของกวนเกอพวกเราค่อยมอบของขวัญชิ้นใหญ่ชดเชยให้เขาก็พอ”
พวกเราหรือ
เฉิงฉือรู้สึกปลาบปลื้มใจเหลือคณา
หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงแล้ว เขาก็ออกเดินทางไปจินหลิง
โจวเสาจิ่นมองดูรถม้าของเฉิงฉือเคลื่อนออกจากซอยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ในใจรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก เมื่อกลับถึงห้องชุนหว่านถามนางว่าอยากจะไปย่านเฟิงไถเมื่อใด นางถึงนึกได้ว่าตนไปหาเฉิงฉือทำไม
รอให้เฉิงฉือกลับมาแล้วไปเป็นเพื่อนนางดีกว่า
โจวเสาจิ่นตัดสินใจไม่ออกไปที่ใด นอกจากไปพบโจวชูจิ่นกับหลี่ซื่อแล้ว เพียงอยู่แต่ในเรือนช่วยตัดเย็บเสื้อผ้าให้เฉิงฉือเท่านั้น
แต่ละวันกวนเกอเอ๋อร์ดูไม่ต่างจากเดิมสักเท่าใด วันนี้ดูดนิ้วเป็น พรุ่งนี้เล่นน้ำลายเป็น ชาติก่อนตอนที่กวนเกอเกิดนางไปอาศัยอยู่ที่บ้านสวนแล้ว ปีหนึ่งพบหน้ากันเพียงครั้งเดียว แต่ละครั้งยังไม่ทันเล่นจนคุ้นเคยโจวเสาจิ่นก็ต้องกลับไปแล้ว ตอนนี้ได้เห็นกวนเกอที่น่าสนใจเช่นนี้ ดวงตาของนางร้อนผ่าวเหลือแสน
เด็กชอบเล่นกับเด็ก
โจวโย่วจิ่นนอนคว่ำข้างๆ กวนเกออยากจะกอดเขาทั้งวัน หนำซ้ำยังอยากจะให้เขาเรียกนางว่าพี่สาว ทำให้คนทั้งห้องหัวเราะร่วนกันทั่วหน้า โจวโย่วจิ่นพานโกรธจนบุ้ยปากน้อยๆ โดยไม่สนใจผู้ใด มีครั้งหนึ่งยังฉวยโอกาสขณะที่คนรับใช้ข้างกายกวนเกอเผลอตัว เกือบจะอุ้มกวนเกอออกมาจากเปลไกว ทำเอาทุกคนตกใจจนเหงื่อเย็นชุ่มไปทั้งตัว
ไปๆ มาๆ เพียงเวลาแค่เจ็ดแปดวัน โจวเสาจิ่นก็เย็บอาภรณ์ฤดูหนาวชุดหนึ่งให้เฉิงฉือเสร็จแล้ว ขณะที่กำลังจะเตรียมเย็บชุดที่สอง มีสาวใช้เด็กเข้ามาแจ้งนางว่า “กูไหน่ไหนทั้งสามท่านของตระกูลเฉิงมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ!”
กูไหน่ไหนทั้งสามท่านของตระกูลเฉิง…
โจวเสาจิ่นคิดแล้วคิดอีกถึงได้กระจ่างว่าสาวใช้เด็กคนนั้นหมายถึงผู้ใด
นางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “กูไหน่ไนทั้งสามท่านของตระกูลเฉิงหรือ ทั้งสามท่านมาหมดเลย? เวลานี้?”
สาวใช้เด็กนึกถึงรถม้าสีดำหลังคาแบนดูเรียบง่ายแต่หรูหราสามคันนั้นที่จอดอยู่หน้าประตู ก็พยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุดพร้อมกับตอบว่า “ป้าที่ติดตามมาด้วยแจ้งอย่างชัดเจนว่าเป็นกูไหน่ไนทั้งสามท่านของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูที่เมืองจินหลิงเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นลนลานเล็กน้อย
กูไหน่ไนทั้งสามท่านของตระกูลเฉิง ย่อมต้องหมายถึงเฉิงเจิง เฉิงเซียวและเฉิงเซิงนั่นเอง
เฉิงเจิงคือคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉิง แต่งงานกับกู้ซวี่บุตรชายของกู้ซุ่นผู้เป็นมหาบัณฑิตสำนักฮั่นหลินในปีนั้น ทั้งยังอายุมากกว่าเฉิงฉือถึงสามปี โจวเสาจิ่นไม่เคยพบปะนางมาก่อน รู้เพียงว่าสามีของนางได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งอย่างก้าวกระโดด บุตรชายเฉลียวฉลาดเป็นที่น่าภาคภูมิใจ สามีภรรยาต่างรักใคร่ปรองดองกัน มีชีวิตที่ดียิ่ง สตรีหลายคนในจิงเฉิงต่างอิจฉานางเป็นอย่างมาก
ส่วนเฉิงเซียวนั้นตอนที่นางเข้าพิธีปักปิ่นโจวเสาจิ่นยังเป็นดรุณีน้อยคนหนึ่ง ทั้งสองคนมิได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นแต่อย่างใด อย่างมากก็เพียงโอภาปราศรัยเมื่อพบหน้ากันยามที่อาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูเท่านั้น
เฉิงเซิงใช้เวลาร่วมกับโจวเสาจิ่นยาวนานกว่าคนอื่นๆ นอกจากนี้ยังศึกษาเล่าเรียนกับเฉินต้าเหนียงมาด้วยกัน อย่างไรก็ตาม เหตุเพราะเฉิงเซิงเติบโตข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาตั้งแต่เด็ก ความรู้และวิสัยทัศน์ล้วนไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเฉินต้าเหนียงจึงถือว่าพลอยได้หน้าได้ตาไปด้วย แม้จะกล่าวว่าพวกนางเป็นสหายร่วมสำนักศึกษา แต่ความจริงต้องบอกว่าเฉิงเซิงเป็นผู้ชี้แนะสั่งสอนนางกับเฉิงเจียเสียมากกว่า



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน