ผู้ที่พูดก็คือเด็กสาวที่หน้าตาซุกซนผู้นั้น
เฉิงเจิงและคนอื่นๆ หัวเราะร่วน
เด็กสาวผู้นั้นเห็นแล้วก็วิ่งเข้ามาอย่างดีใจ คล้องแขนของเฉิงเจิงพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “พี่สาวเจิง” แล้วทักทายเฉิงเซียวกับเฉิงเซิง จากนั้นก็กวักมือเรียกสหายที่มาด้วยกันของนางว่า “พี่สาวเจีย นี่คือคุณหนูทั้งหลายของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูที่จินหลิงเจ้าค่ะ!”
ดวงหน้าของหญิงสาวผู้นั้นพลันซับสีแดงเรื่อราวกับจะหลั่งโลหิตออกมาได้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเขินอายเล็กน้อย
หญิงสาวที่สง่าผ่าเผยถึงเพียงนี้ เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นเหนียมอายขึ้นมาได้
โจวเสาจิ่นลอบเกิดความรู้สึกไม่ดี
เหมือนดังคาด หญิงสาวผู้นั้นก้าวมาทำความเคารพพวกนางอย่างนอบน้อม แล้วค้อมศีรษะลงน้อยๆ ขณะยืนอยู่ข้างหนึ่ง
เด็กสาวที่หน้าตาซุกซนผู้นั้นก็เม้มปากกลั้นยิ้มพลางกล่าวว่า “พี่สาวเจียเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหมิ่นที่ฝูเจี้ยนเจ้าค่ะ! พี่ชายร่วมอุทรของนาง ก็คือใต้เท้าหมิ่นผู้เป็นจ้วงหยวนในการสอบขุนนางครั้งก่อนๆ เจ้าค่ะ”
ฉับพลันทุกคนต่างแสดงสีหน้ากระจ่างแจ่มแจ้ง
โจวเสาจิ่นย่นหัวคิ้วน้อยๆ
คุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นจากฝูเจี้ยน มิใช่คนผู้นั้นที่ต้องแต่งงานกับเฉิงสวี่หรอกหรือ
วันนี้มันวันอะไรกัน
ออกมาเที่ยวตลาดดอกไม้ก็บังเอิญมาเจอคู่หมั้นของเฉิงสวี่เสียได้!
ชาติก่อนนางไม่เคยพบหน้าคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นมาก่อน ไม่คาดคิดว่าในชาตินี้นางจะพบเจอกันเร็วขนาดนี้
แต่หวังว่าต่อไปต่างฝ่ายต่างจะพบปะกันให้น้อยลง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นผู้นี้กับคุณหนูตระกูลฟางถึงได้สนิทสนมกันเพียงนี้
เฉิงเจิงแนะนำโจวเสาจิ่นให้แก่คุณหนูทั้งสองท่าน แล้วแนะนำเด็กสาวทั้งสองคนให้นางรู้จัก “นี่คือคุณหนูหกตระกูลฟาง ชื่อตัวว่า ‘เซวียน[1]’ อักษรเดียว ส่วนท่านนี้คือคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่น…”
ฟางเซวียนกล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “พี่สาวหมิ่นมีชื่อเป็นอักษรตัวเดียวว่า ‘เจีย[2]’ พวกเราสองคนต่างเป็นหญ้าเจ้าค่ะ”
เฉิงเจิงและคนอื่นๆ ต่างหัวเราะขบขัน
โจวเสาจิ่นก็หยักมุมปากขึ้นตาม ทว่ารอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตา โชคดีที่นางดูเหมือนเด็กสาวที่สุภาพเรียบร้อยผู้หนึ่ง บวกกับความสนใจของหมิ่นเจียล้วนเพ่งไปที่สามพี่น้องตระกูลเฉิง สามพี่น้องตระกูลเฉิงเองก็สนใจหมิ่นเจียเช่นกัน ไม่มีผู้ใดสนใจนางเลยทั้งสิ้น
เฉิงเซียวจึงยิ้มพลางถามฟางเซวียนว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาเที่ยวตลาดดอกไม้วันนี้หรือ ท่านลุงไม่ได้จับเจ้าคัดอักษรหรอกหรือ”
น้ำเสียงนั้น สนิทสนมกันยิ่งนัก
เห็นได้ว่าตระกูลหยวนกับตระกูลฟางสนิทชิดเชื้อกันมาก
ฟางเซวียนถอนหายใจพลางกล่าวว่า “พี่สาวเซียวนี่พูดอะไรไม่พูดมาพูดเรื่องนี้เสียได้จริงๆ! ท่านพ่อของข้าจะปล่อยข้าออกมาได้อย่างไรเล่า เป็นเพราะว่าพี่สาวเจียมาจากฝูเจี้ยน ท่านแม่ของข้าจึงให้ข้าออกมาข้างนอกเป็นเพื่อนพี่สาวเจีย ท่านพ่อของข้าถึงได้เอ่ยปากทองว่า ยอมให้ข้าคัดอักษรน้อยกว่าทุกวันห้าร้อยตัวเจ้าค่ะ” ขณะที่นางพูด ก็เดินไปกอดกู้หนิงกับกู้จงที่ตามเฉิงเจิงอยู่ข้างหลังอย่างเรียบร้อย แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่สาวเจิง เหตุใดวันนี้พวกท่านถึงมาเที่ยวตลาดดอกไม้เช่นกันเจ้าคะ เจ้าใหญ่ เจ้ารอง พวกข้าไม่เจอพวกเจ้ามาพักหนึ่ง พวกเจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่”
กู้หนิงกับกู้จงต่างแย้มรอยยิ้มน่ารักออกมา พลางเรียกฟางเซวียนว่า “น้าหญิงเล็ก” กู้จงผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่กล่าวว่า “ทำไมท่านถึงไม่ไปเยี่ยมพวกข้านานแล้วขอรับ”
ฟางเซวียนหน้าแดงระเรื่อ กระแอมไอชั่วครู่หนึ่ง แล้วตอบยิ้มๆ ว่า “คราวหน้าตอนที่น้าเล็กไปหาพวกเจ้า จะเอาขนมสายไหมกับน้ำหลี่มู่ไปฝากพวกเจ้า!”
ทั้งสองคนจึงพยักหน้าพลางยิ้มร่า
เฉิงเซิงที่อยู่ข้างๆ หัวเราะไม่หยุด แล้วกระซิบบอกโจวเสาจิ่นว่า “นางเป็นบุตรสาวท่านลุงรองของข้า ลำดับที่หกในบรรดาพี่สาวน้องสาว ความจริงแล้วนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านลุงรองของข้า อายุสี่สิบกว่าปีถึงได้มีบุตรสาวคนนี้ จึงรักและตามใจเป็นอย่างมาก เป็นคนที่ค่อนข้างสดใสร่าเริง ถ้อยคำวาจาก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน แต่จิตใจกลับดียิ่ง”
หมายความว่าหากฟางเซวียนพูดอะไรผิด ให้นางไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ
ทุกคนมาพบกันโดยบังเอิญ โจวเสาจิ่นไม่มีทางโกรธนางลงหรอก
นางยิ้มให้กับเฉิงเซิง
จู่ๆ เฉิงเซิงก็ถอนหายใจ พลางกล่าวว่า “เสาจิ่น เจ้าหน้าตางดงามจริงๆ อุปนิสัยก็ดีขนาดนี้ ต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนสักหน่อยถึงจะถูก หลีกเลี่ยงไม่ให้แต่งงานกับคนอื่นแล้วถูกแม่สามีหรือพี่น้องสามีบีบคั้นเอาได้…”
แต่ก่อนเฉิงเซิงก็บอกให้นางอย่าอดทนอดกลั้นไปเสียทุกอย่าง ตอนนั้นนางเพียงคิดว่าเฉิงเซิงเป็นบุตรสาวที่ทุกคนโปรดปราน คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว[3]… ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว ถ้อยคำของนางมีเหตุผลมาก ยิ่งกว่านั้นยังเป็นถ้อยคำที่พูดด้วยความจริงใจ
โจวเสาจิ่นลุแก่โทษอยู่ในใจ
วังต้าเหนียงเห็นทุกคนสนิทสนมกันยิ่ง ก็รู้สึกโล่งใจ รีบเชิญทุกคนไปดื่มน้ำชาที่ศาลาริมน้ำข้างนอกเรือนเพาะชำอย่างกระตือรือร้นว่า “…พวกคุณหนูกับคุณนายยังชมสวนดอกไม้ของตระกูลข้าได้ด้วยเจ้าค่ะ”
เฉิงเจิงยิ้มพลางตอบว่า “ดี” คนอื่นๆ ก็เห็นด้วยกับนาง ย่อมไม่มีผู้ใดคัดค้านเป็นธรรมดา
มีแต่โจวเสาจิ่นที่กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าอยากจะไปดูดอกไม้อื่นๆ ของพวกนาง พี่สาวทั้งหลายเชิญไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะตามไปเจ้าค่ะ”
ในเมื่อพบกับว่าที่ภรรยาของน้องชายที่นี่ สามพี่น้องตระกูลเฉิงคงต้องสนใจหมิ่นเจียเป็นอย่างมาก แทนที่จะให้นางนั่งอยู่ข้างๆ โดยไม่มีอะไรทำอยู่ตรงนั้น ไม่สู้ไปดูว่าตระกูลวังมีดอกไม้อะไรขายบ้างยังจะดีกว่า นางคาดหวังกับการมาเฟิงไถเป็นอย่างยิ่ง หวังจะได้ดอกไม้ดีๆ กลับไปสักสองสามกระถาง
ท่านน้าฉือบอกว่าถ้าเป็นไปได้ จะรุดกลับมาฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างกับนาง
ถึงตอนนั้นอากาศก็ร้อนมากแล้ว
หากปลูกต้นไม้สักสองสามต้นได้ ก็คงเย็นสบายลงเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือได้ตุนน้ำแข็งไว้บ้างหรือไม่
หรือว่าเกลี้ยกล่อมให้ท่านน้าฉือย้ายไปพักที่เรือนที่ประตูเฉาหยางทางโน้นดีนะ
ในเมื่อทางโน้นเลี้ยงม้าได้ตั้งหลายตัว จะต้องมีพื้นที่กว้างขวางมากเป็นแน่
โจวเสาจิ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย หลังจากเดินไปส่งเฉิงเจิงและคนอื่นๆ แล้ว ก็เดินวนรอบเรือนเพาะชำของตระกูลวังรอบหนึ่ง
บุตรสาวของตระกูลวังอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนนาง คอยแนะนำต้นไม้ดอกไม้เหล่านั้นในเรือนเพาะชำให้แก่นางเป็นพักๆ “…ทางนี้คือดอกฉาเหมย… ส่วนทางนี้คือต้นล่าเหมย เพิ่งแตกหน่อออกมา กำลังจะตัดแต่งกิ่งพอดีเจ้าค่ะ… ทางนี้คือดอกโบตั๋น เป็นโบตั๋นสองสีที่ท่านปู่ของข้าเพาะพันธุ์ในตอนนั้น ยังมีกระถางทางนี้ เป็นดอกว่านสิบแสน แม้มิใช่สายพันธุ์หายากอะไร แต่ขายได้ดียิ่ง ผู้ที่มาร้านของพวกข้าต่างต้องนำกลับไปกระถางหนึ่ง… ทางนี้คือดอกจุหลัน ส่งมาจากฝูเจี้ยนเจ้าค่ะ” นางกล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็ชะงัก แล้วกล่าวว่า “คุณหนูฟางผู้นั้นก็มาซื้อดอกจุหลันเจ้าค่ะ”
หมิ่นเจียเป็นคนฝูเจี้ยน ฟางเซวียนอยากซื้อดอกจุหลันให้ก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่ายยิ่งนัก



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน