สามพี่น้องตระกูลเฉิงต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เฉิงเจิงรีบกล่าวขอบคุณยิ้มๆ
เฉิงเซียวชำเลืองมองเฉิงเซิงทีหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “จะให้เจ้ามอบของให้พวกข้าได้อย่างไร พวกข้าเป็นพี่สาว ควรจะเป็นพวกข้าที่มอบของให้เจ้าถึงจะถูก”
เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นคบหาสมาคมกับผู้อื่นอย่างนี้ จึงทำใจกล้าตอบไปว่า “มิใช่ของดีอะไรเจ้าค่ะ เป็นน้ำจิตน้ำใจส่วนหนึ่งของข้าเท่านั้นเอง!”
เฉิงเซิงก็เม้มปากกลั้นยิ้มขณะกล่าวว่า “เสาจิ่น เจ้าโตขึ้นแล้วจริงๆ! ยังรู้จักมอบของขวัญให้พวกข้าอีกด้วย”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว
แต่ก่อนนางไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ คิดว่าเฉิงเซิงเป็นบุตรสาวที่ทุกคนโปรดปราน ทุกคนในซอยจิ่วหรูต่างแย่งกันประจบประแจง หากตนก้าวเข้าไปใกล้ รังแต่จะทำให้ผู้อื่นดูแคลน ดังนั้นสมัยที่เรียนอยู่ในสำนักศึกษากับเฉิงเซิงนอกจากจะไม่มอบของอะไรให้เฉิงเซิงแล้ว บางครั้งเวลาที่เฉิงเซิงได้รับของที่พ่อแม่ฝากมาให้จากจิงเฉิงแล้วมอบให้นาง นางก็มักจะปฏิเสธไม่รับตรงๆ
ทว่าผู้ใดจะมีความอดทนคอยหลอกล่อผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรนักกับตนเองบ้างเล่า
เฉิงเซิงจึงค่อยๆ พบปะนางน้อยลง
โจวเสาจิ่นนึกถึงเฉิงฉืออีกครั้ง
หากว่าท่านน้าฉือไม่ได้โน้มน้าวนาง ต่อให้นางกลับชาติมาเกิดใหม่ เกรงว่าในใจคงจะเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เฉกเช่นผู้ที่ไม่เป็นที่รักใคร่ชื่นชอบคนหนึ่ง
ในใจของนางพลันรู้สึกหวานฉ่ำประดุจน้ำผึ้ง
ท่านน้าฉือจะกลับมาเมื่อใดกันนะ
นางไม่อยากออกไปข้างนอกแล้ว
ก่อนที่ท่านน้าฉือจะกลับมานางอยากจะเร่งทำรองเท้าให้เขาอีกสักสองสามคู่
ทั้งยังอยากจะปักถุงหอมสวยงามสักสองสามถุงให้ท่านน้าฉือใช้เก็บของจุกจิก…จะต้องปักอย่างประณีตให้ได้ ทำให้คนอื่นเห็นแล้วตาลุกวาว
ท่านน้าฉือผู้นี้ดูเหมือนไม่สนใจสิ่งใด แต่ความจริงแล้วเป็นคนที่ละเอียดลออยิ่งนัก
สิ่งของที่ปักออกมาต้องทำให้เขาชื่นชอบถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นมุมปากกระตุกขณะกลับไปซอยอวี๋ซู่
เนื่องจากโจวเสาจิ่นออกไปข้างนอกกับเฉิงเจิงพวกนาง หลี่ซื่อจึงพาโจวโย่วจิ่นไปเยี่ยมที่ซอยอวี๋ซู่ พอได้ยินว่าโจวเสาจิ่นกลับมาถึงแล้วก็ออกไปต้อนรับที่ประตูชั้นใน
โจวเสาจิ่นมอบดอกว่านสิบแสนให้แก่โจวชูจิ่นประหนึ่งมอบของล้ำค่า
โจวชูจิ่นรู้สึกปลาบปลื้มยินดีคล้ายกับมีดอกไม้ผลิบานอยู่ในใจก็ไม่ปาน
เดี๋ยวนี้น้องสาวยิ่งโตยิ่งรู้ความแล้ว ต่อไปนางก็ไม่ต้องห่วงว่าหลังจากนางออกเรือนแล้วเหตุเพราะไม่รู้จักสานสัมพันธ์กับคนอื่นจึงถูกแม่สามีดูแคลน
โจวเสาจิ่นหยิบโถแก้วขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากรถม้าราวกับกำลังเล่นกลอย่างไรอย่างนั้น ในโถยังมีปลาทองสองตัวสีแดงตัวหนึ่งสีดำตัวหนึ่งอีกด้วย
“อันนี้ให้โย่วจิ่น!” นางน้อมกายลงมอบโถแก้วให้โจวโย่วจิ่น “ชอบหรือไม่”
“อื้ม!” โจวโย่วจิ่นเบิกดวงตาโตจับจ้องโถแก้วใบนั้นขณะพยักหน้าไม่หยุด แต่ไม่กล้ายื่นมือไปรับโถแก้วใบนั้น
หลี่ซื่อรู้สึกปีติยินดีเหลือแสน
แม้ว่าสิ่งของนั้นมีค่าไม่มาก แต่เป็นการปฏิบัติต่อโย่วจิ่นเสมือนเป็นน้องสาวตนเอง
นางรีบรับโถแก้วแทนบุตรสาว แล้วกล่าวกับโจวโย่วจิ่นยิ้มๆ ว่า “ยังไม่รีบขอบคุณพี่รองอีก!”
โจวโย่วจิ่นร้องขึ้นอย่างออดอ้อนน่าเอ็นดูว่า “พี่รอง” แล้วกล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า “ขะ…ขอบคุณเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ข้าเห็นพี่สาวเจิงพาคุณชายใหญ่กับคุณชายรองของพวกนางไปซื้อปลาทอง ข้าก็เลยซื้อกลับมาฝากโย่วจิ่นสองตัว”
“ทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว” ดวงหน้าหลี่ซื่ออาบด้วยรอยยิ้มละไม
โจวชูจิ่นรีบบอกให้โจวเสาจิ่นเข้ามาในเรือนว่า “มีอะไรก็ให้นั่งลงคุยกัน ยืนอยู่ตรงนี้ไม่เหมาะสมสักเท่าใด” จากนั้นก็กล่าวกับโจวเสาจิ่นอีกว่า “เมื่อครู่ยังพูดกับฮูหยินอยู่เลยว่า ไม่รู้ว่าเจ้าจะกลับมารับมื้อเย็นหรือไม่” แล้วบอกฉือเซียงว่า “เจ้าให้ห้องครัวทำกับข้าวที่คุณหนูรองชอบกินมาเพิ่มอีกสองสามจาน” ทั้งกล่าวอีกว่า “เจ้ากับฮูหยินกินมื้อเย็นที่นี่แล้วค่อยกลับไปแล้วกัน”
โจวเสาจิ่นยิ้มร่าพลางพยักหน้า นำโจวโย่วจิ่นไปหากวนเกอ จวบจวนป้ารับใช้จัดเตรียมอาหารเสร็จแล้วถึงออกมา
รอจนกระทั่งกลับถึงซอยอวี๋เฉียน ตอนที่ฝานหลิวซื่อเข้ามาปรนนิบัติโจวเสาจิ่นเข้านอน โจวเสาจิ่นเอ่ยถามฝานหลิวซื่อที่กำลังจัดเตียงให้นางขึ้นว่า “ตอนที่ข้าเป็นเด็กกว่าจะพูดเป็นก็ช้ามากเหมือนกันหรือไม่”
“ใครว่าเล่าเจ้าคะ” ฝานหลิวซื่อคลี่ยิ้มขณะตบหมอนรองศีรษะ แล้วจัดวางอย่างเรียบร้อยที่หัวเตียงพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองตอนเป็นเด็กเฉลียวฉลาดยิ่งนักเจ้าค่ะ เก้าเดือนก็เรียกคนเป็นแล้ว หนึ่งขวบก็เดินเป็นแล้ว คำแรกที่พูดออกมาก็คือ ‘ท่านพ่อ’ ทำเอานายท่านปลื้มปีติยิ่งนัก อุ้มท่านทั้งวันไม่ยอมปล่อยเลยเจ้าค่ะ มักจะบอกว่าไม่เคยเห็นเด็กที่ฉลาดและงดงามขนาดนี้มาก่อน ถ้าหากฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าจะมีความสุขมากเพียงใด…”
น้ำเสียงของนางลดต่ำลง หางตามีหยาดน้ำระยับวูบไหว
โจวเสาจิ่นก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
ถ้าหากมารดาผู้ให้กำเนิดนางยังมีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างคงจะไม่เหมือนกันแล้ว… นางอาจจะไม่ได้พบกับท่านน้าฉือก็ได้…
เห็นได้ว่าล้วนเป็นโชคชะตาที่กลั่นแกล้งคน!
นางถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างเป็นกังวลว่า “ข้าเห็นโย่วจิ่นโตถึงเพียงนี้แล้ว แต่ยังพูดจาได้ไม่คล่องเท่าเด็กคนอื่นๆ…
ฝานหลิวซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นเพราะตระกูลโจวร่ำรวย บุตรสาวบุตรชายไม่เคยขาดคนดูแลเหมือนกับรุ่นที่ผ่านมา ตั้งแต่เป็นทารกก็มีผู้ใหญ่ดูแลอยู่ตลอด ดังนั้นการพูดหรือเดินล้วนทำได้รวดเร็ว ท่านลองไปแถบชนบทของพวกข้าดูสิ มีผู้ใหญ่บ้านใดบ้างไม่ต้องไปไร่ไปนา เด็กๆ ต่างถูกเลี้ยงมาโดยใช้เชือกผูกติดเอาไว้ใต้ต้นไม้ เด็กบางคนกว่าจะเอ่ยปากพูดก็มีอายุสามถึงห้าขวบแล้ว ข้าไม่เห็นว่ามีตรงไหนช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ เลยเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นฉีกยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า “สงสัยข้าจะกังวลเกินไป!” จากนั้นก็พูดหยอกล้อกับฝานหลิวซื่อว่า “เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าข้าเฉลียวฉลาดเชาวน์ไว ที่แท้ก็เป็นถ้อยคำเกรงใจนี่เอง! เป็นเพราะข้าอยู่กับผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็กถึงได้พูดเดินเร็วขนาดนี้!”
ฝานหลิวซื่อยิ้มพลางกล่าวว่า “คุณหนูรองช่างแทะกระดูกในไข่ไก่จริงๆ นะเจ้าคะ ต่อให้เป็นตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย แต่เด็กที่พูดเดินเร็วเท่าคุณหนูรองนี้ก็ยังมีน้อยอยู่ดีเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นหัวเราะเริงร่า
ฝานหลิวซื่อก็รู้สึกเบิกบานตามไปด้วย แล้วพูดกับซางมามาเป็นการส่วนตัวว่า “ดูเหมือนว่าคุณหนูรองชอบออกไปเที่ยวข้างนอกกับต้ากูไหน่ไนของตระกูลเฉิง วันนี้ยังพูดหยอกเย้ากับข้าอีกด้วย!”
ซางมามายิ้มน้อยๆ แต่ไม่ตอบคำใด ในใจครุ่นคิดว่า ยังคงเป็นนายท่านสี่ที่เก่งกาจ ทำให้เจิงต้ากูไหน่ไนยอมเคลื่อนไหวออกมา

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน