หลี่ซื่อย่อมเห็นด้วยเป็นธรรมดา นอกจากจะมอบลิ่มเงินสิบกว่าก้อนให้นางตกเป็นรางวัลแก่คนข้างกายของเฉิงฉือแล้ว ยังหยิบกล่องไม้สนสองกล่องให้โจวเสาจิ่นอีกด้วย กล่าวว่า “ในกล่องนี้มีโสมร้อยปีสองราก ประเดี๋ยวตอนที่เจ้าไปก็มอบให้ท่านน้าฉือของเจ้า ข้าก็รู้ดีว่า ที่ท่านน้าฉือของเจ้าช่วยพี่ชายใหญ่ของข้ามิใช่เพื่อสิ่งนี้ ของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะแสดงความซาบซึ้งใจที่ตระกูลหลี่มีต่อท่านน้าฉือของเจ้าเลย แต่นี่เป็นน้ำจิตน้ำใจเล็กน้อยของตระกูลหลี่ ข้าก็เพียงยืมดอกไม้มาถวายพระ ไม่ว่าอย่างไรต้องให้ท่านน้าฉือของเจ้ารับไว้”
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเฉิงฉือถึงช่วยพี่ชายของหลี่ซื่อ
ของขวัญที่ตระกูลหลี่มอบให้ย่อมแล้วแต่ท่านน้าฉือจะจัดการ
นางเพียงช่วยนำไปมอบให้เท่านั้น
โจวเสาจิ่นรับคำแล้วพาซางมามานั่งเกี้ยวไปที่ประตูเฉาหยาง
เฉิงฉือไม่ได้เจอนางมาหลายวันเช่นกัน พอได้ยินว่านางจะมา ก็เลื่อนงานสังสรรค์ต่างๆ ออกไปแล้วรอนางอยู่ที่บ้าน
โจวเสาจิ่นรู้สึกขวยเขินในใจ ไม่กล้าบอกว่าตนเองคิดถึงคนเบื้องหน้าผู้นี้เหลือเกิน ถ้อยคำขอบคุณเหล่านั้นล้วนเป็นข้ออ้าง ความจริงก็แค่อยากมาเจอเขา ด้วยเหตุนี้พอได้พบเฉิงฉือจึงตื่นเต้นเล็กน้อย หยิบกล่องไม้สนที่หลี่ซื่อฝากนางมาให้ออกมายัดใส่มือของเฉิงฉือ กล่าวว่า “นี่เป็นของที่ฮูหยินฝากข้าเอามาให้เจ้าค่ะ บอกว่าขอบคุณที่ท่านแนะนำหลิวหย่งให้ท่านลุงตระกูลหลี่รู้จักเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือเห็นนางดูขัดเขินระคนขลาดกลัว งดงามราวดอกไม้ ดวงตาคู่โตสุกใสวาววามหลุบลงมองเท้า มุมปากก็กระตุกอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจพลันนึกสนุกขึ้นมา ค่อยๆ ค้อมกายลง เป่าลมหายใจร้อนรดใบหูของนางพลางกล่าวว่า “นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่นั่นเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ข้าเพียงอยากจะเอาใจเสาจิ่นของข้าสักหน่อยเท่านั้น… ใครจะรู้ว่าเมื่อพบหน้ากันนางกลับไม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบแม้ประโยคเดียว แต่ยัดเยียดกล่องสองใบมาให้ข้า…ข้ารอคอยอยู่ที่บ้านมาตั้งนานเสียเปล่า…”
ลมหายใจที่คุ้นเคยนั้น อ่อนหวานอย่างน่าประหลาด ทำให้โจวเสาจิ่นหน้าแดงเถือก ริมฝีปากอ้าๆ หุบๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี นานครู่ใหญ่กว่าจะเงยหน้าขึ้นมา กลับเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นโกรธจนผลักเฉิงฉือออกไป
เฉิงฉือระบายยิ้มอย่างอ่อนโยน ทว่าในใจกลับเหม่อลอย
ในที่สุดเด็กน้อยของเขาก็รู้จักผลักเขาเสียแล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปเวลาที่ไม่พอใจเล็กน้อยจะชักสีหน้าให้เขาเห็นหรือไม่กันนะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับความสุขชั่วครู่ชั่วคราว ไม่สู้ให้โจวเสาจิ่นแสดงอารมณ์ของตนออกมาได้อย่างง่ายดายเสียยังจะดีกว่า ต่อจากนี้ไปเวลาที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันยังมีอีกยาวไกล เขามิอาจคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของนางได้เสมอ นางก็มิอาจรอให้เขามาช่วยเหลือนางได้อยู่เรื่อยเช่นกัน ปฏิเสธหรือยืนยันอย่างพอเหมาะพอดี จึงจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยิ่งยืนยาว
เขาฉวยโอกาสถอยไปสองก้าวพลางดึงมือของโจวเสาจิ่น กล่าวว่า “เจ้ามาได้พอดี ช่วงก่อนข้าวาดรูปไก่ฟ้าสีทองรูปหนึ่ง อยากจะมอบให้กวนเกอในพิธีครบร้อยวันของเขา เจ้าช่วยข้าดูทีว่าเป็นอย่างไร”
โจวเสาจิ่นถูกเขาจูงไปที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ
บนกระดาษเซวียนจื่อที่ไม่ใหญ่นักมีภาพดอกโบตั๋นเบ่งบานสองดอกและไก่ฟ้าสีทองยื่นหัวออกมาจากใต้ดอกโบตั๋น ชูคอระหงมองผีเสื้อร่ายระบำคู่หนึ่งที่มุมซ้ายบน ท่าทางสนอกสนใจ ดูน่ารักงดงาม
โจวเสาจิ่นนึกไม่ถึงว่าภาพของเฉิงฉือก็วาดได้สวยงามถึงเพียงนี้
นางยืนอึ้งงันไปชั่วเสี้ยวหนึ่ง แล้วถึงได้คืนสติกลับมา กล่าวว่า “ท่านน้าฉือ ข้าได้ยินคนกล่าวกันว่า ผู้ที่มีทักษะวิทยายุทธ์ดี ปกติมักจะต้องทุ่มเทเวลาในการฝึกฝนมาก ไฉนท่านถึงยังมีเวลาอ่านตำรา วาดภาพ และสอบจิ้นซื่อด้วยเล่า…”
โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉือตาปริบๆ
นี่ยังจะทำให้คนซาบซึ้งใจมากกว่าชมภาพวาดของเขาตรงๆ ว่าสวยเสียอีก
เฉิงฉือหัวเราะเริงร่า กล่าวว่า “หากว่าเจ้าอยากทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ย่อมหาเวลามาได้เสมอ”
ถ้าหากไม่ฉลาดปราดเปรื่อง ต่อให้หาเวลามาได้ก็คงมิอาจเก่งกาจเท่าท่านน้าฉือกระมัง
สายตาที่โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉือเปี่ยมไปด้วยความยกย่องชื่นชมอย่างไม่ปกปิด
เฉิงฉือยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่ กล่าวว่า “ถึงเวลานั้นก็มอบภาพนี้ให้แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ เห็นบนโต๊ะเขียนหนังสือวางแปรงทาสี แป้งเปียกและเครื่องมืออื่นๆ ก็อดเอ่ยถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “ท่านน้าฉือ ท่านต้องการ...เข้าม้วนภาพวาดเองหรือเจ้าคะ”
ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า ความงดงามของภาพขึ้นอยู่กับภาพวาดสามส่วน การเข้าม้วนภาพเจ็ดส่วน ภาพเช่นไรเข้ากับแกนไม้ ผ้าไหมหรือกระดาษที่เข้าม้วนเช่นไร ล้วนเป็นทักษะฝีมือชั้นสูง ปกติยอดฝีมือการเข้าม้วนภาพหายากยิ่งยวด บางครั้งต้องรอนานกว่าครึ่งปีถึงจะเข้าม้วนภาพของเจ้า
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ภาพที่ข้าวาดเอง ก็ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายขนาดนั้น ข้าเข้าม้วนภาพเองดีกว่า!”
แต่หากไม่มีฝีมือ ก็คงไม่กล้าทำเองหรอกกระมัง
หาไม่แล้วหากมิได้เข้าม้วนภาพให้ดี ภาพที่เข้าม้วนปีนี้ ก็อาจเสียปีหน้า เช่นนั้นจะมีความหมายอะไร!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็อยากลองดูสักหน่อยอย่างอดไม่ได้ กล่าวว่า “ท่านน้าฉือ ให้ข้าช่วยท่านเข้าม้วนภาพเถอะนะเจ้าคะ”
เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อมองเห็นดวงหน้าน้อยๆ ของโจวเสาจิ่นที่เปล่งปลั่งเพราะมีความสุข เขาก็พลันรู้สึกว่าอย่างนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน วันหลังเขาวาดภาพแล้ว ก็ให้นางเข้าม้วนภาพได้ นอกจากนี้เขายังชื่นชอบพวกงานหินและโลหะเป็นอย่างมากอยู่แล้ว เสาจิ่นเป็นคนที่ละเอียดลออ ถ้าหากนางสนใจการเข้าม้วนภาพ พวกเขายังซ่อมแซมตำราโบราณที่มีอยู่เล่มเดียวด้วยกันได้
ครั้นนึกถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว เฉิงฉือก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นมา
ทั้งสองคนเลือกวัตถุดิบ ทาแป้งเปียก ตัดขอบ ติดภาพด้วยกัน เฉิงฉือด้านหนึ่งอธิบายข้อควรระวังให้แก่โจวเสาจิ่น อีกด้านหนึ่งก็บอกให้นางหยิบมีดกดกระดาษ ระหว่างนี้ยังโอบโจวเสาจิ่นในวงแขน จับมือสอนนางฝึกใช้เศษขอบติดกระดาษอย่างไร
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว ทว่ากลิ่นที่แนบติดเสื้อของนางกลับสะอาดสะอ้าน อุณหภูมิร่างกายก็อบอุ่นถึงเพียงนั้น ทำให้นางมึนเมาเสมือนดื่มด่ำสุราขาวดอกสาลี่ที่เก็บมานานหลายปี ดวงหน้าแดงเรื่อ ไอร้อนพลุ่งขึ้นหน้าโดยตรง
ส่วนเฉิงฉือมองดูโจวเสาจิ่นที่หลุบเปลือกตาลง ดูคล้ายดวงหน้าน้อยๆ ที่ว่าง่ายและสงบสุขเป็นอย่างยิ่ง เขาแทบอยากจะโอบกอดนางแล้วจุมพิตสักสองที นวดเคล้นนางแนบติดกับร่างของตนเองแรงๆ
มีเด็กสาวที่เชื่อฟังและรู้ความขนาดนี้ได้อย่างไร
เขาหักห้ามใจถึงได้ไม่จูบโจวเสาจิ่น แต่ระบายยิ้มพลางปล่อยนาง เดินไปข้างหนึ่งแล้วเข้าม้วนภาพไก่ฟ้าสีทองที่ตนวาดภาพนั้นต่อ และให้โจวเสาจิ่นฝึกติดภาพด้วยตนเอง
ต้นไผ่เขียวชอุ่มข้างนอกห้องโยกไหว ร่มรื่นและเงียบสงบ ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเสมือนเวลาหยุดนิ่งอย่างไรอย่างนั้น ผ่อนคลายและสงบสุขยิ่ง
โจวเสาจิ่นลอบเงยหน้ามองเฉิงฉือเขากำลังเข้าม้วนภาพวาดอย่างตั้งใจ
แขนเสื้อผ้าไหมซงเจียงสีขาวพระจันทร์ถลกขึ้นเหนือศอก เผยให้เห็นแขนขาวหมดจดกำยำของเขา ยิ่งทำให้นิ้วเรียวยาวของเขาดูมั่นคงแข็งแกร่ง
เปลือกตาของโจวเสาจิ่นซับสีแดงจางๆ รู้สึกอารมณ์อ่อนไหวเล็กน้อย
ท่านน้าฉือมักจะหาข้ออ้าง ‘กลั่นแกล้ง’ นางเสมอ ทำไมวันนี้ถึงได้…เงียบเช่นนี้เล่า
เป็นเพราะวันนี้เขามีงานยุ่ง หรือว่าเพราะนางผลักเขาออกไปทำให้เขารู้สึกเก้อกระดากเล็กน้อยกันนะ


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน