หลายวันต่อมา โจวเสาจิ่นวิ่งไปฝึกการเข้าม้วนภาพกับเฉิงฉือที่เรือนประตูเฉาหยางทุกวัน
ไม่เหมือนกับความซุกซนไร้เดียงสาจากแต่ก่อนยามที่ไม่รู้ความรู้สึกของกันและกัน และไม่เหมือนกับความเก้อเขินกระดากอายยามที่ใจตรงกัน นางวางตัวต่อหน้าเขาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ทั้งหยอกเย้าล้อเล่นเป็น และมองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักหวานละมุน ตัวนางเองก็เปลี่ยนเป็นร่าเริงสดใสและงามสง่ายิ่งขึ้น ละม้ายคล้ายดอกตูมที่แย้มกลีบแสนงามออกมาน้อยๆ มีสีสันสวยงามละลานตาและท่วงท่างดงามหยาดเยิ้ม
เฉิงฉือลอบรู้สึกยินดีอย่างยากจะระงับ
โชคดีที่ตนพบเสาจิ่นเร็ว หาไม่แล้วอีกไม่กี่ปี เกรงว่าเขาอยากจะเก็บนางไว้ใต้ปีกตนเอง ก็คงจะต้องเผชิญความยากลำบากยิ่งกว่านี้เป็นแน่
เฉิงฉือย่อมไม่รู้ว่าโจวเสาจิ่นที่ไม่ได้พานพบเขาในชาติก่อนนั้นได้ปล่อยให้ตนเองเหี่ยวเฉาไปตั้งแต่ยังสาวแล้ว
เขาราวกับกำลังปกป้องดอกไม้บอบบางดอกหนึ่งก็ไม่ปาน ปกป้องโจวเสาจิ่นอย่างระมัดระวัง ในใจเต็มไปด้วยความอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับค่อยๆ สนใจการเข้าม้วนภาพขึ้นมาจริงๆ
ถ้าหากบอกว่าก่อนหน้านี้ชอบการเข้าม้วนภาพเพราะได้ใช้เวลาอยู่กับเฉิงฉือ ตอนนี้ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาจริงๆ
ภาพวาดขนาดใหญ่ต้องใช้วิธีเข้าม้วนภาพเป็นแนวตั้ง ภาพวาดขนาดเล็กต้องใช้วิธีเจาะช่องเพื่อติดภาพ ภาพที่มีคำนำหรือคำส่งท้ายต้องติดขอบ ส่วนภาพที่ไม่มีคำนำหรือคำส่งท้ายต้องตัดขอบ ไม่ว่าจะเป็นแกนไม้กฤษณา ไม้จันทน์แดง หรือไม้สน ผ้าไหมทอลายลูกเต๋า ผ้าไหมทอลายโหลวเก๋อ หรือผ้าแพรทอลายจื่อถัวฮวา[1] ที่กลัดภาพม้วนงาช้าง นอแรด หรือเขาโค… ภาพม้วนล้วนมีรายละเอียดยิบย่อย การเข้าม้วนภาพล้วนต้องใช้ความละเอียดลออ ที่กลัดภาพม้วนล้วนต้องพิถีพิถัน แม้แต่กล่องไม้ที่ใช้เก็บภาพม้วนนั้นยังแบ่งเป็นกล่องไม้สน และกล่องไม้ซัว… ก็เหมือนกับที่นางเย็บปักอาภรณ์ ต้องจับคู่ผ้าแต่ละแบบ เลือกสรรวัตถุดิบแต่ละชนิดให้เข้ากัน โจวเสาจิ่นราวกับตกลงในกล้องสลับลายก็ไม่ปาน รู้สึกเพลิดเพลินเหลือแสน
นางยังนำกระดุมเขาโคเจ็ดแปดเม็ดมาให้หลี่ซื่อด้วย กล่าวว่า “…เป็นกระดุมที่ท่านน้าฉือขัดเงาด้วยตนเองยามว่าง บอกว่าเหลือมาจากตอนที่ขัดเงาที่กลัดภาพม้วนเจ้าค่ะ” ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ได้พบเฉิงฉือแล้ว เพียงนางนึกถึงเขาก็จะรู้สึกอบอุ่นหัวใจ นางอดเอ่ยชมไม่ได้ว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือทำของพวกนี้เป็นด้วยเจ้าค่ะ นอกจากนี้ข้าจำได้ว่าตอนที่ท่านน้าฉืออยู่ที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยยังทำพิณด้วยตนเอง…” นึกถึงตรงนี้ นางฉุกคิดได้ว่าตนยังไม่ทันได้ถามเฉิงฉือว่าพิณนั้นเป็นอย่างไรแล้ว นางกล่าวยิ้มๆ อย่างขวยเขินว่า “ที่ท่านน้าฉืออยู่มีของดีมากมายเลยเจ้าค่ะ ช่วงนี้เขากำลังแกะสลักตราประทับ บอกว่าตั้งใจให้ท่านนำไปเป่าติ้งมอบให้บิดาตอนที่กลับไป ตราประทับทำจากหินเลือดนกชั้นดีก้อนหนึ่งที่เขาได้รับมานานแล้ว ปลาหลี่อวี๋บนปลายด้ามก็แกะสลักโดยท่านน้าฉือเอง ทั้งหมดล้วนเป็นเขาที่ลงมือทำเอง ไม่ได้หยิบยืมมือคนอื่นเลยสักนิดเจ้าค่ะ”
วันนั้นตอนที่ท่านน้าฉืออธิบายให้นางรู้จักที่กลัดภาพม้วนที่ทำจากวัสดุชนิดต่างๆ ว่าเป็นอย่างไรก็พูดถึงว่าภาพม้วนบางภาพยังใช้แกนฝังอัญมณีล้ำค่าเลยด้วยซ้ำ จากนั้นหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องหินต่างๆ หลังจากทราบว่าบิดาเคยแกะสลักตราประทับหินเลือดนกที่สลักคำว่า ‘ความหวังและความงดงาม’ ชิ้นหนึ่งด้วยตนเองให้นาง ท่านน้าฉือจึงตัดสินใจแกะสลักตราประทับคำว่า ‘ผู้ประเสริฐย่อมดุจดั่งน้ำ’ ชิ้นหนึ่งให้บิดาด้วยตนเอง
ปลาหลี่อวี๋นั้นมีนิทานเรื่องปลาหลี่อวี๋กระโดดข้ามประตูมังกรอยู่ด้วย ถือเป็นการอวยพรให้บิดาการงานราบรื่นและเจริญก้าวหน้า นอกจากนี้คำว่า ‘ผู้ประเสริฐย่อมดุจดั่งน้ำ’ คำนี้มีที่มาจากคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงซึ่งหมายรวมถึงหลักปฏิบัติในการฝึกฝนตนและการกระทำเรื่องต่างๆ และยังแฝงความนัยว่าเป็นขุนนางแล้วอย่าได้ลืมรากฐานของตนเองอยู่เล็กน้อยอีกด้วย
หลี่ซื่อรู้หนังสือไม่มากนัก จึงไม่รู้ความนัยของคำว่า ‘ผู้ประเสริฐย่อมดุจดั่งน้ำ’ แต่รู้ความหมายของ ‘ปลาหลี่อวี๋กระโดดข้ามประตูมังกร’ ยิ่งกว่านั้นการมอบตราประทับให้แก่กันในหมู่ขุนนางแม้ว่านับเป็นเรื่องปกติ แต่ปลายด้ามนั้นจะไม่แกะสลักอะไรไว้เลย คงสภาพเดิมเอาไว้ หรือไม่ก็เชิญช่างแกะสลักมาแกะสลักก่อน การแกะสลักทั้งหมดด้วยตนเองเช่นเฉิงฉือที่แม้แต่งานฝีมือก็ทำเป็น ไม่ค่อยมีให้เห็นนัก แสดงให้เห็นว่าฝีมือการแกะสลักของเขานั้นยอดเยี่ยมยิ่งยวด เมื่อบวกกับเวลาที่หลี่ซื่อมาจิงเฉิง เฉิงฉือได้ดูแลเอาใจใส่นางในทุกๆ ด้าน ความประทับใจที่นางมีต่อเฉิงฉือก็ดียิ่งนัก จึงประจบประแจงเฉิงฉือโดยไม่รู้ตัวไปบ้าง ยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้ก็สมควรแก่การยกย่องชื่นชม นางอดเดาะลิ้นอย่างประหลาดใจไม่ได้ว่า “เช่นนั้นก็ดียิ่ง! เจ้าอย่าลืมขอบคุณนายท่านสี่ฉือแทนนายท่านด้วยล่ะ” ทั้งทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ว่า “มิน่านายท่านสี่ฉือถึงสอบได้เป็นจิ้นซื่อตั้งแต่อายุยังน้อย ช่างมีความสามารถจริงๆ! ไม่ว่าอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น!”
การสอบจิ้นซื่อกับการแกะสลักนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรงแต่อย่างใด
ทว่าทั้งสองคนที่สนทนากันอยู่นี้ล้วนพูดถึงเฉิงฉือ จึงมิได้รู้สึกว่าถ้อยคำของตนไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย
โจวเสาจิ่นหลุดหัวเราะ พลางกล่าว “ที่ท่านน้าฉืออยู่นั้นมีของที่น่าสนใจมากมายเลยเจ้าค่ะ! มีชามใส่น้ำรูปลูกท้อมงคลแกะสลักจากหยกเก่าชิ้นหนึ่ง เป็นลูกท้อลูกใหญ่ลูกหนึ่ง ลูกเล็กลูกหนึ่ง เมื่อเทน้ำเข้าในลูกท้อลูกใหญ่ น้ำจะหยดติ๋งๆ เข้าไปในลูกท้อลูกเล็ก เมื่อหยดจนหมด จะใช้เวลาหนึ่งเค่อจงพอดี ท่านน้าฉือบอกว่า นี่เป็นชามใส่น้ำที่เขาใช้สมัยเป็นเด็ก เวลาหนึ่งเค่อจงคัดอักษรตัวใหญ่หนึ่งจบ เมื่อน้ำหยดหมดแล้ว ก็คัดอักษรเสร็จพอดี ถ้าหากเทน้ำลงในลูกท้อลูกเล็ก น้ำก็จะหยดเข้าไปในลูกท้อลูกใหญ่ เพียงแต่น้ำจะหยดเป็นเวลาสามเค่อจง ครั้นน้ำหยดจนหมด ก็คัดอักษรตัวเล็กเสร็จหนึ่งหน้า… ยังมีที่ทับกระดาษแท่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร ทั้งแท่งดูเหมือนดำสนิท ทว่าในวันที่ฟ้าครึ้มก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมดำ ข้างในยังเห็นลายดอกไม้รางๆ คล้ายก้อนเมฆที่ม้วนตลบ ท่านน้าฉือบอกว่า นั่นเป็นของของบรรพบุรุษ นายท่านผู้เฒ่าเป็นคนมอบให้เขา เขาใช้มาโดยตลอด เขายังบอกข้าว่า ถ้าที่ทับกระดาษแท่งนี้โดนน้ำ ทั้งอ่างน้ำราวกับถูกน้ำหมึกหยดลงไป ข้าจึงลองดู ปรากฏว่าเมื่อวางที่ทับกระดาษนั้นในอ่างน้ำแล้วน้ำก็เปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด แต่พอหยิบออกมาน้ำใสยังคงเป็นน้ำใส และที่ทับกระดาษยังคงเป็นที่ทับกระดาษอยู่เช่นเดิม…”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” หลี่ซื่อเอ่ยอย่างอัศจรรย์ใจ อดทอดถอนใจไม่ได้ว่า “นายท่านสี่สมเป็นบุตรหลานจากตระกูลเก่าแก่ใหญ่โต ต่อให้ผู้อื่นพยายามไขว่คว้ามาทั้งชีวิตก็มิอาจไขว่คว้าได้สักสิ่งหนึ่ง ทว่าเขากลับหยิบสิ่งนั้นออกมาได้อย่างง่ายดาย”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า ท่าทางเสมือนหลุดเข้าไปในขุมสมบัติมาอย่างไรอย่างนั้น
สิ้นปีนี้นางก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว หลี่ซื่อเห็นว่านางราวกับเป็นอัญมณีที่นำออกมาจากกล่องขึ้นมาในทันใด ไม่ต้องพูดถึงว่ายิ่งโตขึ้นก็ยิ่งงดงามเฉิดฉัน ยังมีบุคลิกที่สง่าผ่าเผยละม้ายบุปผาต้องต้นหลิวก็ไม่ปาน ในใจลอบรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้ อยากจะเตือนโจวเสาจิ่นว่าวันหลังไปเรือนที่ประตูเฉาหยางให้น้อยลงดีหรือไม่ ทว่าพอเห็นดวงหน้าน้อยๆ ที่เปล่งปลั่งของนางและท่าทางเบิกบานเป็นล้นพ้น ก็รู้สึกว่าตนคิดมากไปเอง… ระหว่างที่ลังเลอยู่นั้น โจวเสาจิ่นก็หยิบป้ายเครื่องรางไม้ท้อกว้างสองนิ้วแผ่นหนึ่งยื่นให้นางแล้ว พลางกล่าวว่า “นี่เป็นป้ายเครื่องรางที่ได้มาจากท่านน้าฉือ ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย เอาให้โย่วจิ่นพกไว้เถอะนะเจ้าคะ! ชิงเฟิงบอกว่าในปีนั้นที่ท่านน้าฉือไปเขาอู่ไถได้เชิญท่านอาจารย์มาทำพิธีเบิกเนตร ปกป้องคุ้มครองโย่วจิ่นให้ปลอดภัยราบรื่นเจ้าค่ะ!”
หลี่ซื่อเห็นบนป้ายนั้นแกะสลักแจกันล้ำค่าใบหนึ่ง ในแจกันล้ำค่ามีกิ่งหลิวกิ่งหนึ่งปักอยู่ และมีน้ำค้างหยดหนึ่งห้อยอยู่ที่ปลายกิ่งหลิว คล้ายจะหยดแหล่มิหยดแหล่ แกะสลักได้สมจริงยิ่งนัก ทำให้คนเห็นแล้วกลัวว่าน้ำค้างหยดนั้นจะหยดลงมา ต้องใช้มือรองเอาไว้ให้ได้ เห็นแล้วมิใช่ของธรรมดาทั่วไป
“จะรับไว้ได้อย่างไรกัน!” นางรีบผลักคืนให้โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวว่า “ท่านน้าฉือก็ทราบเจ้าค่ะ เขายังบอกว่าข้าเลือกได้ดี โย่วจิ่นอายุยังน้อย ถ้าสวมเครื่องเงินเครื่องทองก็จะเป็นที่สะดุดตาเกินไป หากเดินอยู่ข้างนอกก็ถูกพวกโจรจับจ้อง ไม่สู้พกป้ายคลาดแคล้วปลอดภัยไม้ท้อนี้จะดีกว่า คนทั่วไปอาจไม่รู้ที่มาที่ไป แต่คนที่รู้ดีชั่ว หากคิดจะเมินเฉยนางก็ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี…”
ถ้อยคำนี้พูดได้ตรงใจหลี่ซื่อจริงๆ
เนื่องจากนางมาจากครอบครัวพ่อค้า แต่งงานกับโจวเจิ้นผู้มีชาติกำเนิดเป็นปัญญาชนอย่างไรก็รู้สึกขาดความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ไรมากลัวจะถูกพวกฮูหยินของสหายร่วมงานหรือสหายร่วมสำนักเหล่านั้นของโจวเจิ้นดูถูกดูแคลนเป็นที่สุด แม้มีสินเดิมมากมายในมือก็มิกล้าใช้ตามอำเภอใจ ตอนนี้มีป้ายคลาดแคล้วปลอดภัยป้ายนี้ เมื่อบุตรสาวเดินไปที่ใดก็ยืดหลังตรงอย่างผึ่งผายได้แล้ว
หลี่ซื่อมิได้ปฏิเสธอีก รับป้ายคลาดแคล้วปลอดภัย แล้วอดกล่าวไม่ได้ว่า “นายท่านสี่ฉือเป็นคนที่ดีเลิศถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าบุตรสาวตระกูลใดจะมีวาสนาแต่งงานกับเขา!”
โจวเสาจิ่นจำต้องกลั้นไว้ถึงจะไม่หลุดหัวเราะออกมา
แต่ก่อนหลี่ซื่อก็เคยกล่าวเช่นนี้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามตอนนั้นพูดว่า นายท่านสี่ฉือเป็นคนที่ดีเลิศถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงมิได้แต่งงาน...

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน