โจวเสาจิ่นและจี๋อิ๋งต่างเอามือปิดปากหัวเราะ จี๋อิ๋งยิ่งแล้วใหญ่ชอบกลั่นแกล้งจึงทำหน้าเคร่งพลางกล่าวว่า “เจ้าเฝ้าเวรยามภาษาอะไรกัน ข้าคนเป็นๆ ตัวออกจะใหญ่ปานนี้เดินเข้ามาผู้หนึ่งเจ้าก็มองไม่เห็น หากมีครั้งหน้าอีก จะย้ายเจ้าไปกวาดพื้นที่ลานชั้นนอกเสีย!”
สาวใช้เด็กตกใจจนตัวสั่นเทา น้ำตาเกือบจะไหลออกมาแล้ว กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “คุณหนูรอง บ่าวคอยจ้องมองตาไม่กะพริบอยู่ตลอด แต่ไม่เห็นคุณหนูท่านนี้เดินเข้ามาเลยเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นเห็นสาวใช้เด็กคิดเป็นจริงเป็นจัง จึงรีบกล่าวว่า “ผู้นี้คือคุณหนูจี้ นางเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น! นางเดินเข้ามาตอนที่เจ้าไปชงชา ก็เลยคลาดกัน ไม่ต้องกลัว มิใช่เรื่องใหญ่อะไร!”
สาวใช้เด็กได้ยินแล้วก็รู้สึกโล่งใจดั่งได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป มองโจวเสาจิ่นด้วยความซาบซึ้งใจ กล่าวรับประกันย้ำๆ ว่า “คุณหนูรอง ต่อไปเวลาเฝ้าเวรยามข้าจะเบิกดวงตากว้างไม่กะพริบเลยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นหยิบลูกกวาดให้นางกำมือหนึ่ง ยิ้มพร้อมกับกล่าวปลอบโยนนางหลายประโยค ถึงได้ให้นางถอยออกไป
จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นอย่างไร้อารมณ์ว่า “ช่างไม่สนุกเอาเสียเลยจริงๆ!”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ
บางทีอาจเป็นเพราะจี๋อิ๋งเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์มาโดยตลอดกระมัง
นางคิด ชาติก่อนตนก็ไม่ต่างจากสาวใช้เด็กผู้นี้ เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจความรู้สึกของพวกนางเป็นอย่างดี และด้วยเหตุนี้เช่นกันนางถึงได้เห็นใจและปฏิบัติต่อสาวใช้และป้ารับใช้ข้างกายด้วยความเอื้ออารี
โจวเสาสจิ่นเดินนำจี๋อิ๋งไปพบหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อได้ยินว่าจี๋อิ๋งเป็นสหายของโจวเสาจิ่น เดินทางจากชังโจวเพื่อมาเยี่ยมโจวเสาจิ่นเป็นพิเศษ แม้นจะประหลาดใจเล็กน้อยที่พวกนางอายุห่างกัน แต่ก็ยังคงให้การต้อนรับจี๋อิ๋งด้วยความกระตือรือร้นและใส่ใจ และรั้งให้จี๋อิ๋งอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วย
จี๋อิ๋งปฏิเสธอย่างสุภาพ กลับไปที่เรือนหลักพร้อมกับโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “พ่อครัวของพวกข้ามาจากเจียงหนาน ทำอาหารหังโจวได้รสชาติดียิ่งนัก เจ้าเข้ามาถึงเป่าซานแต่กลับกลับไปมือเปล่า หลังจากนี้อย่าได้รู้สึกเสียดายเชียว”
จี๋อิ๋งอาศัยอยู่ที่จินหลิงมานานหลายปี จึงชื่นชอบอาหารเลิศรสของเจียงหนานเป็นอย่างยิ่ง ได้ยินแล้วก็น้ำลายไหลอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “ข้ามาคราวหน้าเจ้าค่อยรั้งให้ข้าอยู่กินข้าวด้วยเป็นอย่างไร ตอนนี้ข้าต้องตามหาฉินจื่อผิงให้เจอ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องแต่งกับเขาจริงๆ เสียแล้ว”
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามขึ้นว่า “มิใช่ว่าครอบครัวของพวกเจ้าทั้งสองครอบครัววางของหมั้นกันแล้วหรอกหรือ เจ้าไม่แต่งกับเขาแล้วจะทำอย่างไร”
จี๋อิ๋งดูฉุนเฉียวเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “แต่ข้าก็ไม่อาจแต่งกับเขาไปเฉยๆ เช่นนี้ได้!”
โจวเสาจิ่นกล่าว “หากเจ้ามิได้รังเกียจที่เขาเคยเป็นบ่าวข้างกายของท่านน้าฉือมาก่อน ข้าก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว เป็นคนละเอียดเอาใจใส่ อีกทั้งยังรู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังเขาเป็นอย่างดี…” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงซ่งมู่ขึ้นมา จึงอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า “แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเจ้าไม่ชอบเขาจริงๆ ก็แล้วไปเถอะ เนื่องจากเป็นคนที่จะต้องใช้ชีวิตกับเจ้าไปตลอดชีวิต เจ้าลองค่อยๆ พูดกับบิดาของเจ้าและท่านน้าฉือดู ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่มีทางบีบบังคับเจ้าอย่างแน่นอน”
“ชอบเขาอย่างนั้นหรือ!” จี๋อิ๋งขมวดคิ้วมุ่น
“ใช่!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “มิใช่ว่าเจ้าไม่รู้จักฉินจื่อผิง ถ้าเจ้าเข้ากับเขาไม่ได้จริงๆ หากว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน จะต้องเป็นทุกข์มากเป็นแน่…”
จี๋อิ๋งดูยุ่งยากใจเล็กน้อย ลังเลอยู่กว่าครู่ใหญ่ ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนของน้าฉือของเจ้า…แน่นอนว่าเป็นคนมีความสามารถมาก แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกไม่ชอบ…”
เป็นไปได้ว่าเมื่อก่อนทั้งสองคนคงเป็นคู่ปรับกัน ต่อให้คนผู้นั้นดีเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้นางรู้สึกดีด้วยได้
โจวเสาจิ่นยิ้มอบอุ่น เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปเลย! รู้จักคนรู้หน้าไม่รู้ใจ เจ้าดูอย่างเจียวจื่อหยางผู้นั้น หากมิใช่เพราะเจ้าต้องไปอยู่ซอยจิ่วหรูกะทันหัน เจ้าจะรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไรจริงๆ ได้หรือ เรื่องนี้เจ้าเอาไปคิดให้ถี่ถ้วนก่อนดีกว่า!” จากนั้นกล่าวว่า “อยากให้ข้าไปถามท่านน้าฉือว่าเขาไปไหนหรือไม่”
จี๋อิ๋งพยักหน้าด้วยจิตใจเลื่อนลอย เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าช่วยไปถามนายท่านสี่ให้ข้าหน่อยก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นพยายามรั้งนางอีกครั้ง “เจ้าพักอยู่กับข้าที่นี่เถิด! ในบ้านมีเพียงข้า ฮูหยินแล้วก็น้องสาวคนเล็กเท่านั้น”
“ข้าอยากจะลองไปตามหาฉินจื่อผิงดูก่อน” จี๋อิ๋งลังเลครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ตระกูลจี้มีร้านค้าอยู่ในจิงเฉิงเช่นกัน ข้าไปพักที่นั่นดีกว่า ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงด้วย”
เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน!
โจวเสาจิ่นให้ซางมามาไปส่งจี๋อิ๋งที่ร้านค้าของตระกูลจี้
ทว่าซางมามากลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ให้ข้าติดตามท่านมิให้ห่างแม้เพียงก้าวเดียว ฝีมือของแม่นางจี้นั้นดียิ่ง ข้าว่าไปเรียกคนคุ้มกันจากสำนักคุ้มกันไปส่งนางที่ร้านค้าของตระกูลจี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
จี๋อิ๋งไม่ต้องใช้คนคุ้มกันแม้แต่คนเดียว
ท้ายที่สุดยังคงนั่งเกี้ยวไปยังร้านค้าของตระกูลจี้ตามคำคะยั้นคะยอของโจวเสาจิ่น
ได้มีเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ อารมณ์ของนางจึงดีขึ้นมาก
ซางมามาเข้ามากล่าวกับโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่มาเจ้าค่ะ กำลังรอท่านอยู่ที่ห้องหนังสือ ในเรือนชั้นนอก บอกว่ามีเรื่องต้องการคุยกับท่านเจ้าค่ะ!”
“จริงหรือ!” หัวใจของโจวเสาจิ่นเปี่ยมไปด้วยความลิงโลดยินดี
มิใช่บอกว่าวันนี้มีธุระต้องออกไปข้างนอกหรอกหรือ
นางยกกระโปรงวิ่งเหยาะๆ ไปยังห้องหนังสือ
เฉิงฉือสวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหูโจวลายน้ำสีม่วงอ่อน บริเวณห้อยตราประทับหยกเอาไว้ ยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางห้องหนังสือ เห็นนางวิ่งหอบเข้ามาด้วยดวงหน้าแดงปลั่ง คล้ายนกนางแอ่นตัวหนึ่งที่เริงระบำอยู่ในป่าอย่างมีความสุข
รอยยิ้มบนดวงหน้าของเขาจึงยิ่งสุกใสมากขึ้น
ก้าวออกไปกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวเสียงนุ่มว่า “วันนี้ทำอะไรบ้าง ได้ตั้งใจกินข้าวดีๆ หรือไม่”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย
เดิมทีวันนี้นางตั้งใจเอาไว้ว่าจะเย็บชุดฤดูหนาวที่ทำให้ท่านน้าฉือค้างไว้เนิ่นนานตัวนั้นให้เสร็จ ผลปรากฏว่ามัวแต่ชักช้าพิรี้พิไร จนถึงตอนนี้เย็บไปได้เพียงไม่กี่ฝีเข็มเท่านั้น


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน