การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของโจวเสาจิ่นนั้นผู้อื่นไม่ได้สังเกตเห็น แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เฝ้าสังเกตนางอยู่ตลอดนั้นเห็นอย่างชัดเจน
นางถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ยังคงไม่สนใจโจวเสาจิ่นเช่นเดิม ยิ้มพลางสนทนากับฮูหยินใหญ่เลี่ยวและคนอื่นๆ
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนควรจะเป็นคนเริ่มกล่าวทักทายฮูหยินผู้เฒ่าก่อนถึงจะถูก แต่เมื่อมองดวงตาแสนเย็นชาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ความกล้าที่นางรวบรวมขึ้นมาอย่างยากเย็นนั้นก็คล้ายกับลูกหนังที่ถูกกระทุ้งต่อยจนเป็นรู ค่อยๆ มลายเลือนหายไปทีละเล็กทีละน้อยภายใต้สายตาเมินเฉยของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
จะทำอย่างไรดี
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ราวกับว่านางได้ย้อนกลับไปชาติก่อนในวันที่ถูกหยวนซื่อปลุกปั่นจนถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวเมินเฉยอย่างไม่ไยดีในวันนั้น
โจวเสาจิ่นตัวสั่นไปทั้งร่างอย่างห้ามไม่อยู่ มือจึงยิ่งบิดเข้าหากันแน่น ทว่ากล่าวย้ำเตือนตัวเองอยู่ในใจไม่หยุดว่า ชาติก่อนก็คือชาติก่อน ชาตินี้ก็คือชาตินี้ และท่านน้าฉือก็มิใช่เฉิงสวี่ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางและท่านน้าฉืออยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงเป็นไปไม่ได้ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะโปรดปรานนางเหมือนเมื่อก่อน...
ผ่านไปครู่ใหญ่ อารมณ์ของนางถึงได้ค่อยๆ สงบลงมา เมื่อรวบรวมความกล้าได้มากพอแล้ว ตอนที่สาวใช้เด็กเข้ามาเติมน้ำชาให้พวกนางนั้นจึงไปรับน้ำร้อนจากมือของสาวใช้เด็กมา รินน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวใหม่แล้วยกไปวางข้างๆ มือของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่มองโจวเสาจิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงสนทนากับฮูหยินใหญ่เลี่ยวต่อ “…ตอนนั้นนางเกือบจะแต่งเข้าตระกูลเซินที่จินหลิงแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าตอนที่ทั้งสองตระกูลยังไม่ทันได้พูดคุยถึงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการนั้น คุณชายเซินผู้นั้นก็จมน้ำเสียชีวิตไปก่อน งานแต่งของน้าสิบสี่ของเจ้าก็เลยล่าช้าอยู่หลายปี ตอนนี้ได้ยินเจ้าบอกเช่นนี้ แม้นางจะแต่งไปอยู่ที่บ้านเกิด ทว่าสามีเคารพบุตรกตัญญู มีชีวิตเป็นที่น่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ก็ถือได้ว่าชีวิตของนางเป็นดั่งถนนแห่งความสำเร็จที่โรยด้วยขวากหนามแล้ว!”
คนที่พวกนางกำลังกล่าวถึงคือท่านน้าของฮูหยินใหญ่เลี่ยว
โจวเสาจิ่นฟังจากน้ำเสียงของพวกนางแล้ว ท่านน้าสิบสี่ของฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อนข้างสนิทสนมกันอยู่บ้าง
นางก้มหน้าก้มตาลง
เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงถ้อยคำที่บิดาเคยกล่าวแล้ว
ตระกูลโจวช่างเรียบง่ายและธรรมดาสามัญยิ่ง
แล้วก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความไร้ซึ่งทางเลือกของบิดาแล้ว
เดิมทีโจวเสาจิ่นก็มิใช่คนที่เก่งเรื่องใช้มารยาอยู่แล้ว เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวเจตนาที่จะเมินเฉยเย็นชาใส่นาง นางเองก็ไม่รู้ว่าจะไปทุบทำลายทางตันนั้นอย่างไร จึงเพียงถอยออกมา แล้วไปนั่งฟังพวกนางคุยกันอยู่ตรงมุมห้องต่อไป
ชิวซื่อผู้เป็นฮูหยินรองเว่ยกลับชื่นชอบเด็กสาวราวดอกไม้ที่เห็นแล้วทำให้คนรู้สึกสำราญใจยิ่งผู้นี้เป็นอย่างมาก
นางกระซิบบอกให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ นำผลไม้เข้ามาเพิ่มอีกจานหนึ่ง จากนั้นวางลงบนโต๊ะน้ำชาข้างโจวเสาจิ่น ยิ้มพลางเอ่ยเสียงค่อยว่า “น่าเบื่อมากใช่หรือไม่ เวลาพวกผู้ใหญ่คุยกันก็มักจะเป็นเช่นนี้ เจ้าอดทนอีกสักหน่อย กินผลไม้ไปก่อน ใกล้จะถึงเวลารับประทานมื้อเที่ยงแล้ว ช่วงบ่ายจะมีการแสดงด้วย”
ยังเตรียมการแสดงเอาไว้ด้วย!
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อตกอยู่ภายใต้ความเย็นชาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ความเอื้ออารีนี้จึงยิ่งทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจมากขึ้น
นางยิ้มพลางกล่าวขอบคุณฮูหยินรองเว่ย
รอยยิ้มสงบดุจจันทราทำให้ฮูหยินรองเว่ยตาพร่า ชะงักไปชั่วขณะถึงได้หันไปยิ้มให้นาง แล้วกลับไปยังที่นั่งของตน
มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามา เอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้มเบิกบานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินรองเจ้าคะ กูไหน่ไนใหญ่ กูไหน่ไนรองและกูไหน่ไนสามมาเจ้าค่ะ”
พวกเฉิงเจิงก็เลือกกลับมาวันนี้เช่นกันหรือ
ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชิญคนเข้ามาทำการแสดง
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ออกไปต้อนรับ
เฉิงเจิงสวมชุดสีน้ำเงินไพลินทั้งตัว ทำผมทรงดอกโบตั๋น ปักปิ่นปักผมทองคำแท้ฝังทับทิม ดูสง่าผ่าเผย เฉิงเซียวสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงเข้ม เกล้าผมเป็นมวยกลม ปักปิ่นมรกตดอกไม้ รอยยิ้มเป็นกันเอง ส่วนเฉิงเซิงสวมชุดเพ่ยจื่อสีเขียวอ่อน เกล้าผมเป็นมวยเฉียงประดับด้วยดอกบัวบานดอกหนึ่ง ดูน่ารักซุกซน
ทั้งสามเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้มยินดี ดูคล้ายกับภาพวาดคนงามภาพหนึ่ง
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเอ่ยปากชมขึ้นมาเป็นคนแรก “บ้านของฮูหยินผู้เฒ่าช่างให้กำเนิดคนงามออกมาทั้งนั้นจริงๆ! ดูกูไหน่ไนทั้งสามท่านนี้สิเจ้าคะ ทำให้ผู้คนมองจนตาค้างไปหมดแล้ว!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า
เฉิงเจิงพาน้องสาวทั้งสองคนก้าวออกมาทำความเคารพทุกคน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านก็ชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ! เมื่อสองวันก่อนข้าเจออาเซวียนที่บ้านของท่านรองหัวหน้าสำนักสารบรรณกลางเหอ ทั้งงดงามและเฉลียวฉลาด นั่นต่างหากถึงจะเป็นคนงามที่แท้จริง!”
บิดาของฟางเซวียนเป็นน้องชายร่วมอุทรของฮูหยินใหญ่เลี่ยว
ส่วนท่านรองหัวหน้าสำนักสารบรรณกลางเหอนั้นคือเหอเมี่ยนจือผู้เป็นพ่อภรรยาของเฉิงเก้านั่นเอง
หลังจากออกจากไว้ทุกข์ก็ได้รับความช่วยเหลือจากเฉิงจิง หน้าที่การงานในราชสำนักดีขึ้นอีกหนึ่งขั้น ได้เป็นรองหัวหน้าของสำนักสารบรรณกลาง
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “นางซุกซนยิ่งนัก จะเทียบกับความสง่างามของพวกเจ้าได้อย่างไร”
ทุกคนสนทนาแลกเปลี่ยนกันสองสามประโยค
ก็มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามาอีกครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่ตระกูลฟางพาคุณหนูหกตระกูลฟางมาหาเจ้าค่ะ”
ฟางเซวียนหรือ!
โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่น
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกลับยิ้มออกมา กล่าวขึ้นว่า “พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาจริงๆ”
เฉิงเจิงไม่กล่าวอะไร
เมื่อครู่นางสังเกตเห็นความประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
หรือว่าฮูหยินใหญ่ฟางจะมาเองโดยมิได้รับเชิญ?
เฉิงเจิงถอยหลังสองสามก้าว ทำตัวเป็นผู้น้อยยืนอยู่หลังฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ทว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวกลับรอครู่หนึ่งแล้วออกไปต้อนรับ


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน