ทางด้านประตูเฉาหยางนั้นเฉิงฉือกลับกำลังคุยธุระกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ “…ใต้เท้าซ่งอยากให้ข้าไปช่วยข้าหลวงหยางโซ่วซานจัดการดูแลทางน้ำที่ฝ่ายจัดการน้ำ เริ่มงานตำแหน่งที่ปรึกษาขั้นหกผิ่นของกรมโยธา ถือได้ว่าทำงานอยู่ที่ที่ว่าการของข้าหลวงเป็นการชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งหรือโยกย้ายล้วนอยู่กับกรมโยธาทั้งหมด ข้าได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว แทนที่จะยื่นประวัติส่วนตัวไปที่กรมขุนนางอย่างถ่อมตัวเพื่อขอร้องให้พวกเขามอบงานให้ข้าสักตำแหน่งหนึ่ง มิสู้ตอบรับคำเชิญของใต้เท้าซ่งไปทำงานที่ฝ่ายจัดการน้ำ ณ ที่ว่าการข้าหลวง จะดีร้ายก็เป็นพวกเขาที่เชิญข้าไป นอกจากนี้พอเข้าไปก็ได้รับตำแหน่งขั้นหกผิ่นอีกด้วย รองเจ้ากรมโยธาจางฮุ่ยเป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าซ่ง การที่ใต้เท้าซ่งจัดเตรียมเช่นนี้ ก็ถือว่าใช้ความพยายามลงไปไม่น้อย”
แรกเริ่มก่อตั้งประเทศใหม่ๆ นั้น ยังไม่มีปัญหาจากแม่น้ำเหลืองมากนัก ราชสำนักจึงให้ฝ่ายจัดการการขนส่งทางน้ำเป็นผู้ดูแลเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับทางน้ำ กระทั่งประสบกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ จึงจัดส่งหัวหน้าฝ่ายจัดการน้ำในกรมไปดูแลเป็นการชั่วคราว สุดท้ายจึงขจัดปัดเป่าปัญหาออกไปได้ แต่นับตั้งแต่รัชศกหย่งชังปีที่สิบเป็นต้นมา นับวันปัญหาอุทกภัยของแม่น้ำเหลืองก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งรัชศกจื้อเต๋อปีที่สาม ฝ่ายจัดการน้ำและฝ่ายจัดการการขนส่งทางน้ำแยกตัวออกจากกัน ราชสำนักจึงแต่งตั้งตำแหน่งข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำขึ้นมาเป็นพิเศษ ให้รับผิดชอบดูแลแม่น้ำเหลือง ทางน้ำสายใหญ่ระหว่างจิงเฉิงและหังโจวรวมถึงเขื่อนแม่น้ำหย่งติ้ง และการขุดลอกคูคลอง ซึ่งหยางโซ่วซานผู้นั้นก็คือข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำคนปัจจุบันนั่นเอง
เป็นสหายร่วมสอบปีเดียวกันกับซ่งจิ่งหราน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้ จอกน้ำชาที่ถืออยู่ในมือยังคงรั้งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเข้าใกล้ริมฝีปากเลยสักนิด พลางกล่าวขึ้นว่า “หากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนกับว่าที่ว่าการของข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำผู้นั้นจะมิได้อยู่ที่จิงเฉิงกระมัง”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “อยู่ที่เมืองจี่หนิงของซานตงขอรับ”
คิ้วของฮูหยินผู้เฒ่ากัวขมวดเป็นปมมุ่นขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เรื่องอย่างการจัดการน้ำนี้ ทำงานอย่างยากลำบากแต่ก็เป็นงานที่มองไม่ออกว่าทำอะไรบ้าง หากไม่เกิดเรื่องก็ถือว่าสุขสงบและสำราญดี แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็เป็นเรื่องที่ต้องถูกกุดศีรษะ…เจ้าลองไตร่ตรองดูอีกสักหน่อยดีหรือไม่ คราวก่อนเจิงเจี่ยเอ๋อร์มาที่นี่ บอกว่าทางด้านกรมอาญามีตำแหน่งเจ้าพนักงานฝ่ายพลเรือนว่างอยู่หนึ่งตำแหน่ง แม้นจะเป็นเพียงตำแหน่งขั้นเจ็ดผิ่น แต่ก็เป็นที่นับหน้าถือตา ต่อไปย้ายไปอยู่ที่ทำการหกกรมก็ง่าย ไม่จำเป็นต้องเข้ารับราชการด้วยการไปจัดการดูแลน้ำเพียงอย่างเดียวก็ได้ ต่อไปหากมีตำแหน่งนี้ติดตัวเจ้าไปแล้ว ผู้คนก็จะมองว่าเจ้าเป็นเมล็ดพันธุ์ของกรมโยธา เมื่อจัดการเรื่องน้ำเสร็จก็ไปดูแลเรื่องการขนส่งทางน้ำอีก ชีวิตนี้ของเจ้าคงต้องวนเวียนอยู่แต่ในนี้แล้ว ตามความเห็นของข้าแล้ว ได้ไม่คุ้มเสีย”
เฉิงฉือกล่าวอย่างสงวนท่าทีว่า “ข้ามิได้ทำเพื่อตำแหน่งในราชสำนัก นับตั้งแต่ที่เสาจิ่นปฏิเสธเรื่องงานแต่งของตระกูลซ่งเป็นต้นมา ข้าก็รู้สึกกระดากที่จะพบหน้าคนตระกูลซ่งอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อพบข้าใต้เท้าซ่งยังคงรู้สึกผิด เอาแต่กล่าวขอโทษข้าไม่หยุด นายท่านผู้เฒ่าซ่งเองก็มาหาข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ชวนไปร่ำสุราก็ชวนไปกินข้าวด้วย…ตอนนี้หยางโซ่วซานอยู่ในตำแหน่งไม่ราบรื่นนัก แล้วเขาก็เป็นคนที่ใต้เท้าซ่งแนะนำมาด้วย ทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาอย่างยาวนาน คนหนึ่งรุ่งโรจน์อีกคนก็รุ่งโรจน์ด้วย คนหนึ่งสูญเสียอีกคนหนึ่งก็สูญเสียไปด้วย ในเมื่อใต้เท้าซ่งเอ่ยปากมาแล้ว ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องช่วยเหลือหยางโซ่วซานให้พ้นจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้ถึงจะถูก”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เคยรู้เรื่องที่โจวเสาจิ่นปฏิเสธซ่งมู่มาก่อน จึงรีบสอบถามว่ามันเรื่องอะไรกันแน่
เฉิงฉือเลือกเล่าเฉพาะส่วนที่สำคัญให้ฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่กล่าวอะไรไปครู่ใหญ่
นางยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเงียบขรึมและใช้เหตุผล ส่วนคู่ชีวิตที่จากไปแล้วเป็นคนเด็ดเดี่ยวมีแบบแผน ไม่รู้ว่าบุตรชายที่ตนคลอดออกมาทั้งสามคนนี้ได้นิสัยจากผู้ใดมา แต่ละคนช่างมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อคนรักได้ไม่น้อยหน้ากันเลย
เจ้าใหญ่นั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนเจ้ารองสะใภ้รองเจ็บป่วยมานานหลายปีขนาดนี้ ก็ไม่เห็นเขามีคนอุ่นเตียงหรือไปเที่ยวหอเริงรมย์จำพวกนั้นเลย เจ้าสี่ยิ่งแล้วใหญ่ นอกจากต้องการจะแต่งกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหลานสาวแล้ว ยังยอมเป็นหนี้ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเด็กสาวที่ไม่มีวี่แววจะประสบความสำเร็จนี้อีกด้วย!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเองก็รู้ด้วยหรือว่าเจ้าเป็นคนที่กำลังแต่งงานแล้ว เจ้าทำใจทิ้งนางเอาไว้ที่จิงเฉิงเพียงลำพังได้หรือ พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเป็นคนไร้ระเบียบแบบแผน พี่ชายใหญ่ของเจ้าก็เป็นคนไร้ระเบียบแบบแผนด้วยหรืออย่างไร รอให้เรื่องแต่งงานของเจ้ากับเสาจิ่นถูกเปิดเผยออกมาก่อน พี่ชายใหญ่ของเจ้าจะไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมที่อยู่ในท้องของเจ้าเหล่านั้นหรือ ถึงเวลานั้นเสาจิ่นจะยังอยู่ดีได้อยู่หรือ”
เฉิงฉือหัวเราะคิกออกมา
เนื่องจากมารดากลัวว่าเมื่อเขาไปดูแลฝ่ายจัดการน้ำแล้ว จะกลายเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายช่าง ต่อไปจะโยกย้ายลำบาก กระทั่งหยิบยกเอาเสาจิ่นออกมาหว่านล้อมเขา
กล่าวได้ว่านางเป็นเสมือนกับคนป่วยหนักที่พร้อมจะกระโจนเข้าหาหมอทุกคนแล้ว
เฉิงฉือขยิบตาให้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าท่านไม่เห็นด้วยมาโดยตลอดหรอกหรือ ข้าก็จะได้มีที่ให้หลบออกไปพักใจด้วยพอดี!”
“เจ้าคนร้ายกาจผู้นี้!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางจอกชาลงพลางกวาดมือหาของสักอย่างไปทั่วหมายจะเอามาตีเฉิงฉือ “หากมิใช่เพื่อเจ้า ข้ายังจะเสียเวลาคิดเรื่องนี้อีกหรือ เพียงข้านึกถึงวันที่ต้องไปเอ่ยเรื่องสู่ขอที่ตระกูลโจว หน้าข้าก็แห้งเหือดด้วยความกังวลแล้ว ไม่รู้ว่าจะถูกตระกูลโจวไล่ออกจากประตูบ้านหรือไม่ ที่ผ่านมาข้ามีชีวิตอย่างสูงส่งและสง่างามมาโดยตลอด ไม่คาดคิดว่าเมื่อแก่ชราลงแล้ว กลับยังต้องลดตัวลงก้มหน้าให้ผู้อื่นเพื่อบุตรชายคนเล็กที่ไม่เอาไหนผู้หนึ่งอยู่อีก…”
“ท่านแม่ ท่านกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรกันขอรับ!” หนังหน้าของเฉิงฉือหนาดั่งกำแพงบ้าน แสร้งทำท่าหวาดกลัวรีบหลบไปอยู่ข้างๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องสู่ขอให้บุตรชายหญิงได้เป็นฝั่งเป็นฝานี้มิใช่ว่าเป็นหน้าที่ของบิดามารดาหรอกหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีน้ำโห กล่าวขึ้นว่า “ข้าดูแล้วคุณหนูหกตระกูลฟางของพวกเราก็ไม่เลว ในเมื่อเรื่องแต่งงานของเจ้าขึ้นอยู่กับข้า เช่นนั้นก็แต่งกับคุณหกตระกูลฟางก็แล้วกัน…”
เฉิงฉือหัวเราะร่า จงใจกล่าวอย่างเอาใจว่า “ท่านแม่ให้ข้าแต่งกับผู้ใด ข้าก็จะแต่งกับผู้นั้น!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโกรธจัด ลุกขึ้นก้าวออกไปตีเฉิงฉือสองสามฝ่ามืออย่างอดไม่ได้ พลางกล่าว “ยังกล้ามาเถียงกับข้าอีก!”
เฉิงฉือจึงหลอกล่อมารดาว่า “ข้าเป็นเช่นนี้ ก็มิใช่เพราะเห็นว่าท่านสงสารเห็นใจข้าหรอกหรือ ท่านรีบหายโกรธเถิด ท่านจะไปเอ่ยเรื่องสู่ขอกับตระกูลโจว อย่างไรข้าก็ต้องมีตำแหน่งอะไรสักตำแหน่งหนึ่ง ตระกูลโจวจะได้ปฏิเสธท่านไม่ได้! อีกอย่าง ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่ท่านจะไม่รู้อย่างนั้นหรือ ที่บอกว่าจะไปดูแลฝ่ายจัดการน้ำนั้น ก็เพราะว่าข้าเก่งเรื่องคำนวณ เพราะฉะนั้นสิ่งที่นายท่านผู้เฒ่าซ่งกล่าวมาเหล่านั้นถึงได้เข้าใจได้โดยง่าย ครั้งนี้ที่บอกว่าให้ข้าไปเป็นผู้ช่วยของหยางโซ่วซานจัดการน้ำนั้น ความจริงแล้วนายท่านผู้เฒ่าซ่งก็ร่วมเดินทางไปด้วย การจัดการแก้ไขปัญหาแม่น้ำเหลืองให้สำเร็จนั้นเป็นความปรารถนาของเขามาทั้งชีวิต ก็เพียงอ้างชื่อของข้าก็เท่านั้น จุดแข็งของข้ายังคงอยู่ที่การคำนวณ เมื่อก่อนไม่ได้ติดต่อกับใต้เท้าซ่ง ใต้เท้าซ่งจึงไม่รู้ ต่อมาได้ไปมาหาสู่กับใต้เท้าซ่ง ข้าเองก็มิได้ปิดบังแต่อย่างใด ไม่อย่างนั้นใต้เท้าซ่งก็คงไม่ให้ข้าไปรับตำแหน่งในกรมโยธา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะได้เข้าสู่หกกรมในอนาคต”
กล่าวไปกล่าวมาก็ยังคงทำเพื่อโจวเสาจิ่นอยู่ดี
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “ในเมื่อเจ้าคิดมาดีแล้ว ยังจะมาถามข้าอีกทำไม”
เฉิงฉือจึงดันมารดาให้นั่งลงบนตั่งใหม่อีกครั้ง ช่วยนวดหัวไหล่ให้มารดาอย่างเอาใจไปด้วย กล่าวเสียงอบอุ่นเจือรอยยิ้มไปด้วยว่า “ท่านแม่เป็นดั่งกระดูกสันหลังของครอบครัวพวกเรา เมื่อก่อนตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่นั้นมิใช่ว่ามีเรื่องอะไรก็เอาปรึกษาท่านทุกเรื่องหรอกหรือ ข้าประสบกับเรื่องใหญ่เพียงนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องเอามาหารือกับท่านแม่ก่อนหัวใจดวงนี้ถึงจะรู้สึกมั่นใจขึ้นมาได้!”
กระบอกตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลันรื้นชื้นขึ้นมา
นางเฉลียวฉลาดและมากความสามารถมาตลอดทั้งชีวิต เมื่อแก่ตัวลงแล้วกลับถูกสามีลวงหลอก เอาบุตรชายคนเล็กที่นางอุ้มท้องมากว่าสิบเดือนและคลอดออกมาอย่างยากลำบากนั้นไปให้เฉิงซวี่คนหยาบช้าผู้นั้นเลี้ยงดูจนกลายเป็นหัวหน้าพรรคอะไรนั่นไปเสีย หากมิใช่เพราะบุตรชายของนางเป็นคนฉลาดและเชื่อฟังแล้วละก็ คงกลายเป็นจอมยุทธ์ไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีวันนี้ วันที่พวกเขาสองแม่ลูกได้มาปรึกษาหารือเรื่องรับราชการอยู่ตรงนี้
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน