แสงแดดยามรุ่งอรุณสาดส่องอยู่ทั่วลานบ้านอันเงียบสงบ ในอากาศยังมีความสดชื่นที่เป็นเอกลักษณ์จำเพาะของอากาศยามเช้าในฤดูใบไม้ร่วงหลงเหลืออยู่ด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวมชุดเพ่ยจื่อสีเหลืองอ้อยปลายชุดทอลายคลื่นน้ำตัวหนึ่ง เกล้าผมขึ้นเป็นมวย อาจเพื่อให้เข้ากับฤดูกาล จึงปักผมด้วยกิ่งดอกกุ้ยฮวาเอาไว้ กำลังตัดแต่งกิ่งต้นสนที่มีความสูงเท่าคนกระถางหนึ่งอยู่ตรงกลางลานบ้านโดยมีเจินจูและอีกหลายคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ จากท่าทางนั่นแล้วดูมีชีวิตชีวากว่าตอนอยู่ที่เรือนหานปี้ซานเสียอีก
เห็นได้ชัดว่าเรื่องแยกตระกูลอะไรนั้น ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับสภาพจิตใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลย
หยวนซื่อพึมพำอยู่ในใจ ก้าวออกไปทำความเคารพแม่สามีอย่างนอบน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหันมาพยักหน้าให้นาง กระทั่งตัดแต่งกิ่งสุดท้ายเสร็จ มองสำรวจอย่างถี่ถ้วนหนึ่งรอบ เมื่อพอใจแล้วถึงได้ส่งกรรไกรในมือให้เจินจูที่อยู่ข้างๆ รับผ้าเช็ดมือสีม่วงที่เตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้วมาเช็ดมือ ตอนนี้เองถึงได้ถามนางว่า “มาแล้วหรือ รับมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง”
หยวนซื่อรีบก้าวออกไปประคองแขนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ เอ่ยขึ้นอย่างนบนอบและระมัดระวังว่า “เพิ่งมาถึงเมื่อคืนเจ้าค่ะ ดึกมากเกินไป กลัวว่าจะรบกวนท่าน เป็นความคิดของนายท่านใหญ่ ให้ข้าค่อยมาหาท่านเช้าตรู่วันนี้แทน จึงยังไม่ได้รับมื้อเช้าเลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวร้อง “อืม” เสียงหนึ่งโดยไม่แสดงความเห็นอะไรเพิ่ม กล่าวเสียงเรียบว่า “เช่นนั้นก็มารับมื้อเช้าเป็นเพื่อนข้าก็แล้วกัน”
หยวนซื่อก้มหน้าลงพลางขานรับ “เจ้าค่ะ” ทั้งสองคนจึงเดินเข้าเรือนหลักไป
เครื่องเรือนทาน้ำมันเคลือบสีดำ ฉากกั้นงาช้างสิบสองบานพับ ผ้าม่านเตียงผ้าไหมบางเบาสีเหลืองอ่อนโปร่งแสงดุจม่านหมอก แจกันดอกไม้กระเบื้องเคลือบสีขาวข้างๆ บานหน้าต่างกระจกหลากสีนั้นมีดอกกุ้ยฮวาที่เพิ่งหักกิ่งมาใหม่ๆ เสียบเอาไว้ด้วยสองสามกิ่ง ทั้งห้องจึงอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา
ไม่ด้อยไปกว่าบ้านที่ซอยจิ่วหรูเลยแม้แต่นิดเดียว
หยวนซื่อทั้งรู้สึกชื่นชมและอิจฉาไปด้วยอย่างอดไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าช่างมีวาสนาดีจริงๆ บุตรชายทั้งสามคนแต่ละคนต่างสร้างชื่อเสียงมาให้ ครอบครัวประสบกับความโชคร้าย นางยังคงร่ำรวยเงินทอง สิ่งที่ควรจะมีก็ยังมีเหมือนเดิมมิได้ลดน้อยลง
หากว่าแก่ตัวลงไปแล้วนางมีชีวิตอย่างฮูหยินผู้เฒ่าได้ก็คงจะดี
ฮูหยินรองเว่ยคอยกำกับสาวใช้เด็กตั้งโต๊ะอาหาร ทั้งสามคนนั่งรับประทานมื้อเช้าบนตั่งตัวใหญ่ริมหน้าต่างในห้องรับแขกกันอย่างเงียบๆ
กระทั่งรับประทานอาหารเสร็จ สาวใช้เด็กเก็บกวาดโต๊ะและนำน้ำชาขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินรองเว่ยจึงถอยออกไป
หยวนซื่อถึงได้กล่าวถึงเรื่องที่จินหลิงขึ้นมา “…ทางด้านสุสานของตระกูลนั้นได้สร้างบ้านขนาดห้าห้องขึ้นมาใหม่หนึ่งหลัง เมื่อเลือกวันมงคลได้แล้ว ก็จะย้ายป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษทั้งหลายเข้าไป มอบหมายให้บ่าวรับใช้ที่จงรักภักดีไปดูแลอยู่ที่นั่น สิ่งของในบ้านที่นำมาด้วยได้ล้วนส่งมาที่นี่ทั้งหมดแล้ว ส่วนที่นำมาไม่ได้นั้น ได้ซื้อบ้านขนาดสามถึงสี่หมู่หลังหนึ่งที่ซอยสือโถวแล้วนำของไปเก็บไว้ที่นั่นชั่วคราวก่อน มอบหมายให้บ่าวรับใช้ที่จงรักภักดี รวมถึงฝากฝังให้ท่านลุงและญาติผู้น้องทั้งหลายช่วยดูแลชั่วคราวสักระยะหนึ่ง รอให้ข้าเสร็จจากเรื่องงานแต่งของเจียซ่านแล้ว จะกลับไปจัดการเก็บกวาดสิ่งของในบ้านใหม่อีกครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ”
ยังมีทรัพย์สินอีกหนึ่งชุดใหญ่ส่งมาจากจินหลิง เฉิงสวี่รับผิดชอบคุ้มกันมากับเรือ จึงต้องรออีกหลายวันกว่าจะเดินทางมาถึง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าน้อยๆ พลางกล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว”
หยวนซื่อรีบลุกขึ้นยืน กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นสิ่งที่บุตรสะใภ้สมควรทำเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยกมือขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้นางนั่งลงมาสนทนากัน กล่าวขึ้นว่า “ต้นไม้ดอกไม้ในเรือนเพาะชำเหล่านั้นล้วนขนมาหมดแล้วกระมัง”
หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ล้วนขนออกมาแล้ว จะมาถึงจิงเฉิงพร้อมกับเรือของเจียซ่านเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วหมุนลูกประคำในมือ กล่าวขึ้นว่า “ยามเปลี่ยนสถานที่ใหม่ ต้นไม้ตาย ทว่าคนกลับมีชีวิต อยู่ที่บ้านหลังเก่ามาร้อยกว่าปี วันนี้กลับต้องย้ายออกมา ไม่รู้ว่าต่อไปพวกเจ้าจะตั้งรกรากอยู่ที่จิงเฉิงหรือไม่”
หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ อย่างสุภาพว่า “นายท่านทั้งสามคนล้วนเป็นคนกตัญญูรู้คุณ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีหลุมอุปสรรคใดที่ข้ามไม่ได้บ้าง ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ตั้งใจดูแลร่างกายให้แข็งแรง ยังมีความสุขของวันข้างหน้าให้ได้ยินดีอีกเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าจะให้ข้ามีชีวิตอยู่จนกลายเป็นวิญญาณปีศาจไปหรืออย่างไร”
หยวนซื่อรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ในบ้านมีผู้อาวุโสคนหนึ่งก็เสมือนกับมีสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีท่านนั่งเป็นองค์ประทาน ในใจของพวกข้าล้วนรู้สึกกระวนกระวายยิ่ง ท่านอย่าได้กล่าวคำพูดชวนหดหู่ใจเช่นนี้อีก พวกข้ายังหวังจะได้จัดงานวันมหาวันคล้ายวันเกิดครบรอบแปดสิบปีให้ท่านอยู่นะเจ้าคะ!”
เมื่อสองปีก่อนท่านผู้นำตระกูลจวนรองเฉิงซวี่ก็จัดงานวันมหาวันคล้ายวันเกิดครบรอบแปดสิบปีไป
เมื่อก่อนเนื่องจากมีเขากดข่มเอาไว้ คนรุ่นหลังล้วนไม่อาจจัดงานวันเกิดได้ ตอนนี้แยกตระกูลแล้ว งานวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงจัดอย่างครึกครื้นได้แล้ว
เนื่องด้วยคำพูดดังกล่าว บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนจึงถือได้ว่าดูอบอุ่นเป็นมิตรขึ้นมาเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “งานแต่งของเจียซ่านนั้นเจ้ามีการเตรียมการอย่างไรบ้าง”
แววตาของหยวนซื่อเป็นประกายเล็กน้อย รู้ว่าสามีได้รายงานความเห็นของตนให้แม่สามีทราบแล้ว
“นายท่านใหญ่ได้เป็นเจ้ากรมอยู่ในราชสำนัก ได้มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ เดิมทีนี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุด” นางกล่าวช้าๆ “แต่ถ้าจะจัดงานรื่นเริงด้วยเรื่องนี้ อาจทำให้บรรดาเจ้าพนักงานที่คอยสอดส่องดูแลขุนนางทั้งหลายเอาเรื่องนี้ไปโจมตีนายท่านใหญ่ว่าชอบความฟุ้งเฟ้อ หยิบหย่งและอวดดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงไม่ควรเปิดเผยสู่สาธารณะเท่าไรนัก แต่ประจวบเหมาะกับที่เจียซ่านจะแต่งงานพอดี ข้าจึงคิดว่า มิสู้ใช้โอกาสที่เจียซ่านแต่งงานนี้จัดงานใหญ่เชิญญาติสนิทมิตรสหายมา ถือโอกาสเฉลิมฉลองให้นายท่านใหญ่ด้วย…”
“เจ้าเพียงบอกมาว่าเจ้าจะใช้เงินจำนวนเท่าไรก็พอ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวตัดบทคำพูดของนางอย่างกะทันหัน บรรยากาศอบอุ่นเป็นมิตรเมื่อครู่นี้มลายหายไปในทันใด
หยวนซื่อสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
คนเป็นย่าบ้านไหนบ้างที่ได้ยินว่าหลานชายกำลังจะแต่งงานแล้วไม่ตื่นเต้นยินดี มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขาผู้นี้เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าจะดีใจขึ้นมาในเวลาไหน และไม่รู้ว่าจะมีสีหน้าเย็นชาเวลาไหนด้วย
นางเอ่ยขึ้นว่า “ยังมิได้คำนวณอย่างละเอียดเจ้าค่ะ แต่ข้าคิดว่าสินเจ้าสาวของตระกูลหมิ่นนั้นอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีประมาณสามสิบหกเกี้ยวหาม อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ต้องใช้สามพันเหลี่ยง ยังมีน้ำชา สุรา ปะรำพิธี และเครื่องดนตรี…”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน