โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกไม่หยุด ใบหน้าแต้มยิ้มนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา สะอึกสะอื้นกล่าวว่า “หากท่านไม่บอกข้า ต่อให้ข้ามีชีวิตเท่าท่านในตอนนี้ ก็คงจะยังไม่รู้ว่าควรจะเดินออกมาหาถนนเส้นนั้นได้อย่างไร!”
ท่าทางมึนๆ งงๆ ของนางทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเบิกบานใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่าอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “ไปพักผ่อนเถิด! หากข้าเดาไม่ผิด พรุ่งนี้อาเซวียนก็คงจะมาเป็นแขกที่นี่แล้ว เจ้ายังต้องรวบรวมกำลังวังชาเพื่อให้การรับรองนางให้ดี อย่าให้ข้าต้องเสียชื่อ”
มิใช่ชื่อเสียงของตระกูลเฉิง มิใช่ชื่อเสียงของจวนหลัก แต่เป็นชื่อเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
โจวเสาจิ่นดีดตัวลุกขึ้น ขานรับคำ “เจ้าค่ะ” อย่างกระตือรือร้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ
โจวเสาจิ่นออกมาได้พบกับฮูหยินรองเว่ยพอดี เล่าเรื่องทั้งหมดที่นางจัดการไปในวันนี้ให้ฮูหยินรองเว่ยฟัง ฮูหยินรองเว่ยรีบกล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว” แล้วไปส่งนางที่ประตูชั้นในด้วยตัวเอง จากนั้นถึงได้หมุนกายไปที่เรือนเฮ่อโซ่วถังที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพักผ่อนอยู่ พูดเรื่องการเรียนของเฉิงรั่งกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว “…ไม่ไปสำนักศึกษาหลวง แต่กลับไปที่สำนักศึกษาซานหมิง ได้ยินมาว่าสำนักศึกษาซานหมิงแห่งนั้นสู้สำนักศึกษาซวงเฮ่อมิได้ด้วยซ้ำเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ที่สำนักศึกษาหลวงนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่คิดจะประสบความสำเร็จในเส้นทางขุนนาง ชอบพูดเรื่องพื้นเพเดิมของครอบครัว พูดเรื่องคุณสมบัติ และพูดเรื่องอำนาจ อีกทั้งโดยปกติก็ต้องพบปะเข้าสังคมสังสรรค์กันมาก น้อยคนที่จะนั่งอ่านหนังสือกันอย่างเงียบๆ ส่วนสำนักศึกษาซวงเฮ่อเป็นสำนักศึกษาส่วนบุคคล อาจารย์ใหญ่เป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียนที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า ระบบการเรียนการสอบนั้นไม่ต้องพูดถึง พื้นฐานของนักเรียนก็แน่นหนาแข็งแกร่ง แต่คนที่มีพรสวรรค์ด้านการเรียนก็มากตามไปด้วย รั่งเกอเอ๋อร์นั้นสุขภาพไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก กำลังวังชาไม่ค่อยดีนัก หากไปสำนักศึกษาซวงเฮ่อ เกรงว่าการเรียนจะหนักหนาจนยากที่จะผลักดันตัวเองไปอยู่ข้างหน้าได้ เมื่อเวลายาวนานไป ความสนใจต่อการเรียนก็จะลดน้อยลง ไม่สู้ไปสำนักศึกษาซานหมิงจะดีกว่า เมื่อเทียบกับสำนักศึกษาซวงเฮ่อแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขนาดความใหญ่หรือนักเรียนล้วนด้อยกว่ามาก ทว่าส่วนที่ดีกว่าก็คือบรรดาอาจารย์ต่างสอนหนังสือด้วยความอดทนและใส่ใจ ทั้งยังชื่นชอบเด็กที่ถึงแม้จะหัวช้าแต่ก็ขยันขันแข็งเหล่านั้นอีกด้วย จึงเหมาะสมกับรั่งเกอเอ๋อร์ที่สุดแล้ว…
…สำนักศึกษาแห่งนี้เป็นลุงของเจ้าที่แนะนำมาให้ เขาไม่มีทางปล่อยศรโดยไร้ทิศทางอย่างแน่นอน พวกเจ้าวางใจเถิด…
…ทางด้านของเจ้ารอง เจ้าก็ต้องไปพูดกับเขาสักหน่อย หากว่าที่ทำการไม่มีธุระอะไร ก็ให้อยู่บ้านมากสักหน่อย อยู่คอยชี้แนะการเรียนให้รั่งเกอเอ๋อร์ ให้ความสนใจเขาเป็นพิเศษสักหน่อย ด้วยความรู้ความสามารถของเจ้ารองแล้ว รั่งเกอเอ๋อร์ควรจะเป็นนักเรียนที่โดดเด่นที่สุดในสำนักศึกษาถึงจะถูก...
…วันนี้พวกเรากับซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้ว ต่อไปกิ่งก้านที่จิงเฉิงนี้ก็ต้องอาศัยเจียซ่านและรั่งเกอเอ๋อร์เป็นคนนำเกียรติมาให้ตระกูลแล้ว รั่งเกอเอ๋อร์จะเอาแต่หลบอยู่หลังเจียซ่านต่อไปเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีก ต่อให้อนาคตจะมิอาจสอบผ่านจนได้รับการแต่งตั้งเป็นจิ้นซื่อได้ ทว่าก็ไม่อาจละทิ้งการเรียนหนังสือ เจ้ากล้าตัดสินโดยพลการหรือว่าการที่รั่งเกอเอ๋อร์เรียนหนังสือได้ธรรมดาสามัญนั้นบุตรชายของเขาก็จะเป็นเหมือนกับเขาด้วย”
ฮูหยินรองเว่ยพยักหน้าหงึกๆ ยืนมือแนบลำตัวสกัดกั้นความรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ข้างๆ ขานรับคำอย่างนอบน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “นายท่านสี่มาเจ้าค่ะ”
เกรงว่าพอได้ยินว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางพาฟางเซวียนมาหานางที่นี่ ก็เลยออกหน้ามาช่วยเสาจิ่นกระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวร้องหึเสียงเย็น
ฮูหยินรองเว่ยรีบลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา
แม้นนางจะไม่ได้เฉลียวฉลาดเท่าหยวนซื่อ ทว่าก็มิใช่คนโง่
เมื่อก่อนเพียงแม่สามีได้ยินชื่อของน้องสี่ดวงตาก็เจือไปด้วยรอยยิ้มแล้ว แต่ช่วงนี้กลับปฏิบัติต่อน้องสี่อย่างเฉยชาไม่เย็นและไม่ร้อน เห็นได้ชัดว่าระหว่างมารดาและบุตรชายนั้นกำลังมีปัญหากันอยู่ แต่ไม่ว่าระหว่างพวกเขามีปัญหาอะไรกัน น้องสี่ก็เป็นบุตรชายที่แม่สามีโปรดปรานที่สุด นางจึงไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเผยสีหน้าเคร่ง นั่งรอให้เฉิงฉือเข้ามาหาอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
เฉิงฉือทำความเคารพมารดาเสร็จแล้วจึงนั่งลงบนตั่งตรงข้ามกับมารดา รอให้สาวใช้เด็กนำน้ำชาขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็ไล่ให้คนที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องออกไป กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “หลายวันก่อนพี่ใหญ่มาหาข้า ถามข้าว่าในบ้านยังมีเงินที่ใช้ได้จำนวนเท่าไร บอกว่าเจียซ่านใกล้จะแต่งงานแล้ว ก่อนหน้านี้ตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากที่จัดงานที่จิงเฉิงเสร็จเรียบร้อยแล้วจะให้พวกเขาสองสามีภรรยาไปอยู่ที่จินหลิงสักระยะหนึ่ง หนึ่งเพื่อให้พวกเขาได้แสดงความกตัญญูต่อท่าน สองเพื่อให้พวกเขาได้ไปมาหาสู่กับญาติพี่น้องที่บ้านเดิมของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าสะใภ้คนใหม่ไม่รู้จักญาติพี่น้องของตัวเองแม้แต่คนเดียว ด้วยเหตุนั้นบ้านที่ซอยซิ่งหลินจึงปรับปรุงอย่างง่ายๆ ครั้งหนึ่งและซื้อของมาเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้พวกเรากับซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้ว ต่อไปทุกคนต่างก็ต้องมาอยู่จิงเฉิง เรือนหลังใหม่หลังแต่งงานของเจียซ่านจึงไม่อาจจัดเตรียมอย่างง่ายๆ เช่นนี้ได้แล้ว จึงถามข้าว่าในบ้านยังมีเงินที่ใช้ได้เป็นจำนวนเท่าไร…บอกว่าครอบครัวต้องประสบกับเรื่องเช่นนี้ จะต้องไม่มีเงินเหลือมากมายเป็นแน่ เดิมทีเขาอยากจะหารือกับตระกูลหมิ่นให้จัดงานแต่งของเจียซ่านอย่างเรียบง่ายสักหน่อย จึงเขียนจดหมายไปให้พี่สะใภ้ใหญ่ แต่พี่สะใภ้ใหญ่ไม่เห็นด้วย บอกว่านางมีบุตรชายเพียงคนเดียว อีกทั้งพี่ใหญ่ยังเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก คนที่เกี่ยวดองด้วยยังเป็นตระกูลหมิ่นของฝูเจี้ยน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจสร้างความลำบากให้คุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นได้ ถ้าหากหาเงินจากกองกลางไม่ได้จริงๆ ค่าใช้จ่ายสำหรับงานแต่งของเจียซ่านก็ให้ไปเอาจากของนางก็แล้วกัน ไม่ต้องใช้ของกองกลางแล้ว…”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลันไม่น่าดูเป็นอย่างมากขึ้นมาในทันที ถามว่า “เจ้าตอบไปว่าอย่างไร”
เงินที่จ่ายให้จวนรองล้วนเป็นเงินกองกลางของจวนหลัก มิได้ยุ่งกับสินติดตัวของหยวนซื่อเลยแม้แต่แดงเดียว
ตอนนี้เฉิงสวี่ใกล้จะแต่งงาน ตามหลักแล้วเงินจำนวนนี้ก็ควรจะหยิบออกมาจากเงินกองกลางของจวนหลัก ไม่มีเหตุผลอะไรให้ไปยุ่งกับสินติดตัวของหยวนซื่อ
แต่หลักการมิได้อยู่นอกเหนือน้ำใจคน
วันนี้ครอบครัวประสบกับเรื่องที่ไม่เคยพานพบมาก่อน ต่อให้มีเงินกองกลางจำนวนมากเท่าไร แต่ไม่มีการค้า ไม่มีที่นาแล้ว…มิใช่ว่าควรจะหาซื้อทรัพย์สิน ให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ก่อนหรอกหรือ นี่กลับเป็นห่วงแต่เรื่องงานแต่งของบุตรชายตัวเองเท่านั้น
ยังอยากจะจัดอย่างใหญ่โตอีก
กลัวว่ากองกลางจะหาเงินมาให้ไม่ได้ ก็จะให้ไปเอาจากสินติดตัวของตัวเอง
และบุตรชายหูเบาของนางผู้นั้นก็ยังจะเชื่อฟัง มาปรึกษาหารือกับน้องชายของตัวเองอีก...
นางช่างเลี้ยงบุตรชายมาได้ดีจริงๆ!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำพัดกลมในมื้อแน่นจนนิ้วมือซีดขาวเล็กน้อย
เฉิงฉือลอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง
ทั้งๆ ที่พี่ใหญ่รู้ว่ามารดามีเรื่องบาดหมางกับหยวนซื่ออยู่ ก็ยังจะพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาอีก เห็นได้ชัดว่าเรื่องระหว่างแม่สามีและบุตรสะใภ้นั้น สามีผู้เป็นคนกลางจะช่วยไกล่เกลี่ยวอย่างไรนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
หวังว่าต่อไปเขาจะไม่โง่งม ผลักให้เสาจิ่นไปเผชิญหน้ากับมารดา
เขากุมมือของมารดาเอาไว้ กล่าวปลอบโยนนางเสียงเบาว่า “ท่านแม่อย่าได้เข้าใจผิด พี่ใหญ่เองก็เข้าใจความยากลำบากของครอบครัวดี แต่สุดท้ายแล้วตำแหน่งค้ำตัวเขาอยู่ตรงนั้น งานแต่งของเจียซ่านหากอัตคัดเกินไปก็ดูไม่ดีนัก ตอนนั้นข้าบอกพี่ใหญ่ไปว่า เรื่องนี้ต้องกลับมาหารือกับท่านก่อน แต่เมื่อกลับมาถึงข้าก็หาวิธีเตรียมเงินเอาไว้แล้วหนึ่งแสนเหลี่ยง ข้าคิดว่าถึงเวลานั้นให้บอกกับพี่ใหญ่ว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินส่วนตัวของท่าน กล่าวคือ แทนที่จะให้พี่สะใภ้ใหญ่นำเงินส่วนตัวของนางออกมาให้เจียซ่านแต่งงาน มิสู้ให้ท่านออกเงินเองจะดีกว่า…”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยามดอกวสันต์ผลิบาน